เมื่อโลกหมุนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ระบบทุนนิยมเริ่มถูกบ่มจนได้ที่ สังคมเริ่มแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน หนทางแห่งความมั่งคังไม่ใช่เรื่องของฟ้าลิขิตอีกต่อไป สำหรับใครที่อยากรวย รวย รวย! หนังสือเล่มแรกๆ การเงิน การลงทุน ที่ถูกแนะนำให้อ่านคงหลีกไม่พ้น Rich Dad Poor Dad “พ่อรวยสอนลูก”
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยชายวัยกลางคนมาดอบอุ่นลูกครึ่งอเมริกันญี่ปุ่นที่ชื่อ โรเบิร์ต คิโยซากิ ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และกลายเป็นหนังสือขึ้นหิ้งระดับตำนานที่เหล่าลูกจ้างมือใหม่ต้องอ่าน (แต่เจ้าของกิจการไม่อยากให้ลูกจ้างอ่าน…ทำไมล่ะ?)
ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องโดยใช้การเปรียบเทียบระหว่างพ่อของนักเขียนทั้ง 2 คน พ่อจริงๆ และพ่อของเพื่อนสนิท พ่อ 2 คนนี้มีวิธีคิดด้านการเงินที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง นำมาซึ่งความมั่งคั่งที่ต่างกัน โรเบิร์ตไม่ได้บอกว่า วิธีคิดของใครถูก วิธีคิดของใครผิด เป็นหน้าที่ของคุณนักอ่านทุกท่านที่จะต้องเก็บไปขบคิดเอง
ผมรับประกันได้เลยว่า หลังจากคุณใช้เวลา 5 นาทีอ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายของบทความนี้ มุมมองทางการเงินจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป …
1. ความกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับในสังคม จะขังให้คุณอยู่ใน “สนามแข่งหนู”
“สนามแข่งหนู” วลีที่คิดค้นโดยโรเบิร์ต คิโยซากิ หมายถึง วงจรการทำงานที่แสนจำเจเพื่อสร้างประโยชน์แก่ทุกคนยกเว้นตัวคุณเอง แปลไทยเป็นไทยอีกทีว่า ถ้าคุณอยู่ในสนามแข่งหนู แสดงว่า คุณกำลังทำงานทั้งหมดเพื่อให้คนอื่นๆ (รัฐบาลและเจ้านายของคุณ) กอบโกยผลประโยชน์
โรเบิร์ตกำลังพูดถึงสนามแข่งหนูว่า เป็นวงจรที่เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งและวงจรที่เราเกลียด แล้วทำไมเราจึงยังอยู่ในสนามนี้ต่อ? เพราะชีวิตของเราถูกครอบงำโดยความกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับในสังคม
“ไปโรงเรียน เรียนให้ได้เกรดดีๆ จะได้งานที่ดี เงินเดือนสูงๆ”
คำพูดที่ได้ยินกันบ่อยๆ ถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ทุกวันนี้เรายังคงเชื่อในคำพูดนี้ แม้ว่าจะเป็นคำแนะนำล้าหลังที่เกิดจากรากฐานความคิดของคนสมัยก่อน ช่วงก่อนปี 2000 ถ้าคุณได้ศึกษาในมหาลัย บริษัทใหญ่ๆ ก็จะมาหาคุณถึงที่ จองตัวคุณตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ เพื่อการันตีว่าหลังจบการศึกษา คุณจะได้ทำงานกับบริษัทมั่นคงมีชื่อเสียง และเกษียณอายุด้วยเงินบำนาญที่แสนสบาย แต่ทว่า… ทุกวันนี้ ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าชีวิตคุณจะปราศจากความยากจน หากทำตามคำพูดที่ว่า
คุณตั้งใจเรียนเพื่อเข้ามหาลัยดัง จบมาทำงานในสาขาที่ได้เงินเดือนสูงโดยที่ไม่เคยเห็นตัวเลขการเติบโตของผลประกอบการบริษัทเลย เจ้านายของคุณ (ไม่ใช่คุณ) กำลังรวยขึ้นจากการทำงานหนักของคุณ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังเชื่อและปฏิบัติตามคำพูดข้างต้นด้วยความกลัวที่จะทำให้พ่อแม่ผิดหวัง แล้วสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ?
เราอาจจะหลีกเลี่ยงความยากจนได้ แต่ตลอดชีวิตของเราจะไม่เฉียดคำว่า ร่ำรวย สักนิด
และเรายังคงติดอยู่ใน “สนามแข่งหนู”
2. ความกลัวและความโลภทำให้คุณตัดสินใจเรื่องการเงินอย่างไร้เหตุผล
เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือจนต้องเคยมี 2 อารมณ์นี้
ความโลภและความกลัว
ความโลภจะเกิดขึ้นตอนคุณมีเงิน สมองและร่างกายของคุณจะโฟกัสไปที่สิ่งของใหม่ๆ เสื้อผ้าแฟชั่นตัวใหม่ กัมดั้มรุ่นใหม่ ร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ ส่วนความกลัวจะเกิดขึ้นตอนคุณไม่มีเงิน ความกลัวจะบังคับให้สมองคอยกังวลว่าคุณมีเงินไม่พออยู่เสมอ
คนที่ไม่รู้จักวิธีการบริหารเงิน มักจะปล่อยให้สองอารมณ์นี้ครอบงำการตัดสินใจด้านการเงินอยู่เสมอ
เช่น คุณเพิ่งได้เลื่อนขั้นและรับเงินเดือนมากขึ้น แทนที่คุณจะนำเงินไปลงทุนเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทน คุณกลับนำเงินไปซื้อรถคันใหม่ บ้านหลังใหม่เพื่อให้รางวัลตัวเอง
หากคุณขาดความรู้ด้านการเงิน เหตุการณ์ด้านบนคงจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คุณมักส่ายหน้าเมื่อได้ยินเรื่องการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ เพราะคุณกลัวเสียเงิน กลัวความเสี่ยง ไม่อยากนำเงินไปเสี่ยงแม้แต่สตางค์เดียว!! แม้ว่าการลงทุนจะทำให้คุณมั่งคั่งในระยะยาว ขณะเดียวกัน ความโลภก็เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้คุณใช้เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นไปกับไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา
เงินเดือนเยอะขึ้น บ้านฉันต้องใหญ่ขึ้นสิ!! แน่นอนว่า สิ่งที่คุณเลือกนั้นสัมผัสได้และปลอดภัยกว่าการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตามไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น ก็จะหมายถึงหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นและค่าน้ำค่าไฟที่สูงขึ้น ซึ่งไปหักลบกับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น นี่เป็นวิธีที่ความกลัวและความโลภขัดขวางไม่ให้คุณร่ำรวยมั่งคั่งในระยะยาว
คุณจะรับมือกับอารมณ์เหล่านี้อย่างไร?
เริ่มจากบ่มเพาะความรู้ด้านการเงิน ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน ความเสี่ยงและหนี้สิน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเรื่องการเงินเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับความโลภและความกลัว
3. เงินเป็นเรื่องสำคัญทั้งต่อตัวคุณและความเจริญในสังคม แต่ไม่มีหลักสูตรสอนเรื่องการเงินในโรงเรียนเลย
คนส่วนใหญ่คิดว่า ต้องเก่งและมีพรสวรรค์ถึงจะกลายเป็นคนรวยได้ แต่จริงๆ แล้ว โลกเต็มไปด้วยคนที่มีความคิดเช่นนี้และพวกนี้ก็คือพวกคนจน สิ่งที่พวกเขาไม่มีคือความฉลาดทางการเงิน พวกเขาไม่มีคำศัพท์ด้านบัญชีหรือการลงทุนอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย
น่าเสียดายที่เราต่างถูกเลี้ยงดูโดยขาดคนมาพร่ำสอนเรื่องการเงิน โรงเรียนถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อฝึกให้นักเรียนรู้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องเงิน
เด็กจำนวนมากไม่ได้รับการสอนเรื่องการออมหรือการลงทุนเลย นักเรียนทำหน้าเอ๋อทุกครั้งเมื่อเจอคำศัพท์อย่างดอกเบี้ยทบต้น ขนาดเด็กม.ปลาย (ในอเมริกา) ยังรูดบัตรเครดิตเกินวงเงินทุกเดือน
การขาดการอบรมด้านการเงินเป็นปัญหาที่ไม่เพียงพบในวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังพบในผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาสูงอีกด้วย กระทั่งด็อกเตอร์ปริญญาเอกจำนวนไม่น้อยก็ตัดสินใจเรื่องเงินได้ห่วยมาก
ความรู้ทางการเงินที่ดีที่สุดมักอยู่ในหนังสือ เพราะหนังสือเป็นช่องทางที่เราจะเข้าถึงแนวคิดของมหาเศรษฐีระดับโลกได้ง่ายที่สุด ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกคนไหนจะมาอธิบายเทคนิคของตัวเองอย่างละเอียดในยูทูป แต่ถ้าเขาอยากถ่ายทอดจริงๆ เขามักเขียนเป็นหนังสือไปเลย
สิ่งเหล่านี้ ถ้าค่อยๆ ศึกษาเองก็พอทำได้ แต่ปัญหาของหลายๆ คนคือ หนังสือแต่ละเล่มนั้นใช้เวลาอ่านเยอะ แถมทำความเข้าใจยาก อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง กว่าจะอ่านครบแล้วเชื่อมโยงแต่ละเล่มเข้าด้วยกันก็กินเวลานาน (เล่มนึงบางทีอ่านเป็นสัปดาห์ เล่มหนาๆ ก็เป็นเดือน)
ถ้าคุณศึกษาทุกอย่างเอง อาจต้องใช้เวลาหลายปี บิงโกมีคอร์สดีๆ ที่จะสอนทุกอย่างที่คุณต้องรู้ในเวลาอันสั้น ตั้งแต่วิธีบริหารเงิน ออมเงิน วางแผนการเงิน พร้อมสอนวิธีนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยด้วยเทคนิคของมหาเศรษฐีและนักลงทุนชั้นนำ
4. ก้าวแรกสู่ความร่ำรวยเริ่มจากเรียนรู้เรื่องเงินและเข้าใจสภาพการเงินของตัวเอง
คุณสามารถเริ่มต้นเดินทางสู่ความมั่งคั่งได้ทุกเมื่อ ยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งไปได้ไกล ถ้าคุณเริ่มต้นที่อายุ 20 คุณก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนรวยมากกว่าคนที่เริ่มต้นตอน 30
ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยใกล้เกษียณ วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นคือ ประเมินสภาพการเงินของตัวเอง กำหนดเป้าหมายและขวนขวายหาความรู้ที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมาย
ขั้นแรก วิเคราะห์สถานการณ์การเงินของคุณอย่างตรงไปตรงมา งานปัจจุบันสร้างรายได้ให้คุณในอนาคตมากขนาดไหน? พอที่จะหักกับค่าใช้จ่ายได้หรือเปล่า? (คุณอาจพบว่า คุณมีเงินไม่พอจ่ายค่าผ่อนรถป้ายแดงก็เป็นได้) จากนั้นก็กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่สมจริงมากขึ้น เช่น คุณสามารถพูดได้อย่างไม่เขินอายว่า คุณอยากซื้อรถป้ายแดงคนนั้นภายในระยะเวลา 5 ปี
ขั้นตอนต่อไป เริ่มหาข้อมูลเรื่องการเงิน เก็บความรู้เรื่องการเงินเข้าคลังสมองเยอะๆ เพราะการลงทุนที่ดีที่สุดคือ “การลงทุนในตัวเอง” เปลี่ยนทัศนคติจากทำงานเพื่อเงิน เป็นทำงานเพื่อเรียนรู้
นอกจากนี้คุณยังสามารถเรียนรู้เรื่องการเงินเพิ่มเติมในเวลาว่าง สมัครเรียนคอร์สการเงิน ฟังสัมมนาอ่านหนังสือการลงทุน หรือสร้างคอนเนคชั่นกับเหล่ากูรูการเงินก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นยังไง ลองเข้าไปดู 4 ขั้นตอนคำนวณเงินออมให้พอเกษียณ ก่อนก็ดีครับ มันจะทำให้คุณเห็นภาพมากขึ้นว่าจะวางแผนชีวิตอย่างไร
5. อยากรวย ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความเสี่ยง
มีแต่พวกวิกลจริตเท่านั้นที่มักจะทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วคาดหวังผลที่ต่างออกไป หากคุณต้องการเปลี่ยนสถานะทางการเงิน คุณจะต้องเริ่มจัดการการเงินของตัวเองด้วยวิธีที่ต่างจากเดิม (มีบุคคลโด่งดังระดับโลกคนนึงที่เห็นต่างจากประโยคนี้ วันหลังผมจะนำความคิดของเขามาตีแผ่นะครับ)
สิ่งที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือ “เรียนรู้ที่จะเสี่ยง” คนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินล้วนเคยเผชิญหน้ากับความเสี่ยง คนที่ร่ำรวยไม่เพียงแค่กล้ารับความเสี่ยง แต่ยังรู้จักบริหารมันอย่างถูกวิธีด้วย ความเสี่ยงจะคอยสร้างความกระวนกระวายใจ ตรงข้ามกับความอุ่นใจจากการวางเงินฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ในธนาคาร
โรเบิร์ตแนะนำให้ลองนำเงินไปลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตร แม้ว่าจะมีความเสี่ยงมากกว่าการฝากเงินในบัญชีธนาคาร แต่คุณจะมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งมากขึ้น
หรือถ้าคุณไม่อยากเข้าตลาดหุ้น คุณยังมีตัวเลือกในการลงทุนอีกหลายรูปแบบที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ สินค้าแบรนด์เนม (บางแบรนด์ให้ผลตอบแทนสูงถึง 30% ต่อปี)
แน่นอนว่ายิ่งคุณมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น คุณยิ่งต้องรับความเสี่ยงมากขึ้นด้วย ในกรณีของหุ้น คุณมีโอกาสเสียเงินลงทุนทั้งหมดในชั่วโมงเดียว แต่ถ้าคุณปฏิเสธความเสี่ยงตั้งแต่แรก คุณจะไม่มีทางได้รับผลตอบแทนใดๆ
ดังนั้น การรู้จักคว้าโอกาสที่ใหญ่ขึ้นและจัดการกับความเสี่ยงให้เป็น ก็เหมือนเติมปุ๋ยให้ต้นกล้าแห่งความมั่นคั่งของคุณ
สนใจเรียนรู้เรื่องเงินอย่างรวดเร็วที่สุด?
อยากศึกษาเรื่องการเงินและการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?
บิงโกมีคอร์สดีๆ ที่จะสอนทุกอย่างที่คุณต้องรู้ในเวลาอันสั้น ตั้งแต่วิธีบริหารเงิน ออมเงิน วางแผนการเงิน พร้อมสอนวิธีนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยด้วยเทคนิคของมหาเศรษฐีและนักลงทุนชั้นนำ ซึ่งจะร่นเวลาให้คุณบริหารเงินและลงทุนได้อย่างดี แทนที่จะใช้เวลาหลายปีค่อยๆ ศึกษาเอง
6. หนทางสู่ความมั่งคั่งยังอีกไกล ดังนั้นคุณต้องรู้จักสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
ถนนสู่ความมั่งคั่งนั้นทอดยาวจนสุดลูกหูลูกตา ไม่ง่ายที่หัวใจและขาของคุณจะแข็งแกร่งตลอดเส้นทาง บางครั้งคุณต้องเจอมรสุมชีวิตเข้ามารุมเร้า บางวันคุณอาจจะเห็นราคาหุ้นขึ้นตัวแดง บางทีเป้าหมายทางการเงินเริ่มเดินหนีจากระยะสายตา คุณต้องสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองให้ได้
วิธีการเพิ่มแรงจูงใจที่มีประสิทธิภาพ ก็คือ เขียนรายการ “สิ่งที่ต้องการ” และ “สิ่งที่ไม่ต้องการ”
เช่น “ฉันไม่ต้องการมีชีวิตเหมือนพ่อแม่” “ฉันต้องการปลดหนี้สินภายใน 3 ปี” มองรายการเหล่านี้ทุกครั้งเพื่อเตือนความจำว่า “ทำไมคุณต้องอดทนต่อสู้บนทางสู่ความมั่งคั่งนี้”
อีกวิธีหนึ่งที่หลายคนใช้ คือ จ่ายเงินให้ตัวเองก่อนจ่ายบิล
อาจจะฟังดูย้อนแยง แต่วิธีนี้จะทำให้คุณเห็นว่า คุณต้องหาเงินเพิ่มในแต่ละเดือนเท่าไหร่เพื่อสนองความต้องการทั้ง 2 อย่าง ทั้งความต้องการส่วนตัวและความต้องการของเจ้าหนี้
โรเบิร์ตไม่ได้ชวนให้คุณไปก่อหนี้มากขึ้น แต่การ “จ่ายให้ตัวเองก่อน” จะเพิ่มความกดดันให้คุณตะเกียกตะกายหาวิธีหาเงินมาจ่ายบิลทุกสิ้นเดือน วิธีนี้จะจุดไฟและประกายความคิดสร้างสรรค์ในตัวคุณ คุณจะเห็นวิธีการหารายได้ใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ยิ่งกว่านั้น วิธีนี้จะช่วยซ่อมวินัยทางการเงินของคุณด้วย (ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปนิสัยของคนรวย: มีวินัย)
หากคุณอยากหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติม ผมแนะนำให้ศึกษาเรื่องราวชีวิตของคนรวยอย่าง วอร์เรน บัฟเฟต หรือโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามอ่านช่วงที่พวกเขาต้องปากกัดตีนถีบ ตอนก่อร่างสร้างตัว คุณจะได้เสพความทะเยอทะยานเข้าในจิตใจมากที่สุด
ที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องลงมือปฏิบัติจริง แล้วจะพบว่า การสร้างแรงบันดาลให้ตัวเองตลอดเส้นทางสู่ความมั่งคั่งไม่ใช่เรื่องยาก
7. ความเกียจคร้านและหยิ่งทะนง ฉุดกูรูการเงินลงมาเป็นยาจกหลายคนแล้ว
แม้คุณจะกลายเป็นอัจฉริยะด้านการเงินแล้ว แต่นิสัยแย่ๆ จะคอยคุกคามตัวคุณและเงินของคุณอยู่เสมอ ความขี้เกียจและความเย่อหยิ่งคือหลุมพรางที่อันตราย เพราะมันแอบเติบโตในตัวคุณโดยไม่รู้ตัว
เรามักคิดว่าความเกียจคร้าน คือ การนั่งนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่จริงๆ แล้วความเกียจคร้านยังหมายถึง “การไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ” เช่น นักธุรกิจคนหนึ่งทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หลายคนจึงมองว่าเขาเป็นคนขยัน แต่การทำงานหามรุ่งหามค่ำทำให้เขาต้องผละตัวออกห่างจากครอบครัว จนเห็นเค้าลางปัญหาทางบ้าน แทนที่จะแก้ปัญหา เขากลับหมกตัวอยู่ใต้กองงาน นี่ก็หมายถึงความขี้เกียจ เขาเลี่ยงสิ่งที่ควรทำ เลยต้องเจอกับความทุกข์จากการหย่าร้างภายหลัง
ทำนองเดียวกัน ความเย่อหยิ่งก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว ในบริบททางการเงิน ความหยิ่งหมายถึง “ความโง่เขลาบวกอีโก้” ไม่ยอมรับว่า ไม่รู้ในสิ่งที่ตนไม่รู้
ความหยิ่งเป็นกับดักที่อันตรายมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อนักลงทุน
นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์บางแห่งพยายามกระตุ้นให้คุณซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นเพื่อกินค่านายหน้า พวกเขาทำตัวเหมือนเซลล์ขายรถมือสองที่ไม่สุจริต ชอบโน้มน้าวให้คุณเห็นแต่ด้านบวกของการลงทุน และอำพรางด้านลบที่คุณไม่รู้
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นวอร์เรน บัฟเฟต แห่งเมืองไทยหรือปีเตอร์ ลินซ์ แห่งน่านน้ำเจ้าพระยา ก็จงหมั่นสำรวจและขัดเกลาอุปนิสัยของตัวเอง แล้วคุณจะเลี่ยงความเสียหายทางการเงินได้มากขึ้น
เมื่อพูดถึงชื่อวอร์เรน บัฟเฟตแล้ว เราก็อดไม่ได้ที่จะขอแนะนำหนังสือสักเล่มของเศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ของโลก นั่นคือ The Intelligent Investor หนังสือลงทุนในหุ้นที่ว่ากันว่า “ดีที่สุด” และนักลงทุนทุกคนควรอ่านสักครั้ง
8. ก็แค่ลงทุนในทรัพย์สินและหลีกเลี่ยงหนี้สิน
อะไรคือทรัพย์สิน? อะไรคือหนี้สิน? หากแยกความแตกต่างไม่ได้ก็ยากที่จะตัดสินใจเรื่องลงทุนได้ถูกต้อง
ง่ายๆ เลย ทรัพย์สินก็คือสิ่งที่ผลิตเงินให้คุณ นำเงินเข้ากระเป๋า ส่วนหนี้สินคือสิ่งที่สร้างค่าใช้จ่ายให้คุณ ทำให้ต้องควักเงินออกจากกระเป๋า
ยิ่งมีทรัพย์สินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมั่งคั่งมากขึ้นเท่านั้น
ทรัพย์สินได้แก่ ธุรกิจ หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ ลิขสิทธ์ในทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อเวลาผ่านไปคุณสามารถนำไปขายต่อได้ อีกทั้งยังมี passive income ให้คุณอีกด้วย
เมื่อคุณนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สิน เงินของคุณจะกลายเป็นพนักงานที่วิ่งเต้นสร้างรายได้ให้คุณไม่หยุดหย่อน ยิ่งมี “พนักงาน” เยอะยิ่งดี เป้าหมายของคุณคือ รายได้ต้องสูงกว่ารายจ่ายให้มากที่สุด และนำรายได้ส่วนเกินไปลงทุนในสินทรัพย์ ให้เงินทำงานแทนคุณ
น่าเสียดายที่มีนักลงทุนจำนวนมากเข้าใจคำว่า ทรัพย์สิน กับ หนี้สิน แบบผิดๆ
บ้านมักถูกมองเป็นทรัพย์สิน แต่จริงๆ แล้วมันคือ 1 ในหนี้สินก้อนโตที่สุดในชีวิตคุณ การซื้อบ้านต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อตลอดชีวิตของคุณ
“บ้าน” สร้างภาระให้คุณ 2 ข้อ ดังนี้
- คุณจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นในอีก 360 เดือนข้างหน้า
- คุณเสียโอกาสที่จะนำเงิน 360 งวดนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้กำไรดี เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่า ฯลฯ
หากคุณทราบความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินและหนี้สินแล้ว คุณก็จะตัดสินได้ว่า ควรนำเงินไปลงทุนใน …… และหลีกเลี่ยง …… (เติมคำในช่องว่างเองนะครับ)
9. อาชีพทำให้คุณอยู่รอด แต่ธุรกิจทำให้คุณมั่งคั่ง
คนส่วนใหญ่คิดว่า อาชีพและธุรกิจเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าพูดแง่การเงิน มันต่างกันมากทีเดียวครับ
อาชีพของคุณคือ สิ่งที่คุณทำ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทนไปจ่ายบิล จ่ายค่าครองชีพ
ในทางกลับกัน ธุรกิจของคุณคือ สิ่งที่คุณทุ่มเวลาและเงินให้เพื่อทำให้สินทรัพย์เติบโต
แม้อาชีพของคุณจะให้เงินครอบคลุมค่าใช้จ่าย แต่ก็ไม่ทำให้รวย ดังนั้นถ้าอยากมั่งคั่ง คุณต้องสร้างธุรกิจ
อย่างเชฟที่เรียนศิลปะการทำอาหารจนรู้เทคนิคทั้งหมด การทำอาหารสร้างรายได้เพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าและเลี้ยงดูครอบครัว แต่เชฟก็ไม่ได้ร่ำรวย เชฟคนนี้เลยตัดสินใจลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยนำเงินหลังหักลบรายจ่ายไปซื้อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งก็คืออพาร์ทเมนต์/คอนโด เพื่อปล่อยเช่าและนำผลตอบแทนไปลงทุนในอสังหาฯ ต่อไปเรื่อย จนกลายเป็นเศรษฐี
อาชีพสร้างรายได้เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ทุกเดือน หากรู้จักเติมเงินเข้าธุรกิจ พวกเขาจะมีสินทรัพย์ที่โตขึ้นเรื่อยๆ และก้าวสู่ความมั่งคั่ง
เงินที่ได้จากอาชีพมักจะเป็นเงินทุนสำหรับสร้างธุรกิจ ดังนั้นคนฉลาดมักทำงานประจำไปจนกว่าธุรกิจของเขาจะเติบโตอย่างยั่งยืน
เมื่อสินทรัพย์ของคุณผลิตเงินให้คุณมากกว่าอาชีพ นั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่า คุณมีอิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง (อ่านเกี่ยวกับอิสรภาพทางการเงิน 5 ระดับและวิธีสร้างได้เลย)
10. เรียนรู้ภาษีจะได้เสียภาษีน้อยลง
ทุกคนรู้ดีว่า ภาษี คือ สิ่งที่ลดความมั่งคั่ง แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่เคยหาวิธีเสียภาษีให้น้อยลง จริงๆ แล้วคุณสามารถจ่ายภาษีน้อยลงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หนึ่งในวิธีลดหย่อนภาษีก็คือ ลงทุนในนามของนิติบุคคล
ในอเมริกา ผู้ที่จดทะเบียนนิติบุคคลจะได้รับผลประโยชน์อื่นๆ ด้วย เช่น สามารถจำกัดภาระหนี้สินไว้เพียงแค่บริษัท ถ้าบริษัทเจ๊ง ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าของ
ปกติแล้ว พนักงานบริษัทจะได้เงินเดือน จ่ายภาษี แล้วพยายามใช้ชีวิตด้วยเงินที่เหลือ แต่ถ้าคุณได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล คุณจะสามารถสร้างรายได้ ลงทุน หรือใช้จ่ายได้ด้วย จากนั้นค่อยเสียภาษีเพียงส่วนหนึ่งของเงินที่เหลือ
ระบบนี้เอื้อประโยชน์ให้แก่คนทำธุรกิจอย่างมาก ไม่แปลกที่เจ้าของธุรกิจจะรวยขึ้นเรื่อยๆ ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถลดภาษีได้เช่นกัน แค่ต้องรู้ช่องโหว่ต่างๆ ในระบบภาษี
เมื่อคุณเข้าใจ “ระบบ” คุณก็จะสามารถลดเงินที่ต้องจ่ายภาษีลงไปได้อย่างฮวบฮาบทีเดียวครับ
สรุปส่งท้ายก่อนวางหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” (Rich Dad Poor Dad)
ใจความสำคัญในหนังสือเล่มนี้คือ
เนื่องจากคุณไม่ได้รับการสอนเรื่องการเงินในโรงเรียน คุณจึงจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้นี้ด้วยตัวเอง คุณอาจจะกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยหรือมีอิสรภาพทางการเงินได้ถ้ามีความฉลาดทางการเงิน มีธุรกิจเป็นของตัวเอง และมีความทะเยอทะยานเป็นแรงผลักดัน ความคิดของคุณคือสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดในทุกสถานการณ์
นำหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ไปต่อยอด
ถ้าคุณอยากเห็นผลลัพธ์ จง #ทำทันที แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะนำเสนอเส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินและความมั่งคั่ง แต่ความทะเยอทะยานจะเกิดขึ้นจากภายในตัวคุณเท่านั้น
ลองไปค้นคว้าหาหนังสือที่ดีที่สุดในเรื่องที่คุณสนใจ (เช่น อสังหาริมทรัพย์ ตลาดหุ้น) เล่มไหนเหมาะกับผู้เริ่มต้น? พยายามหากูรูในตลาดที่คุณจะกระโจนเข้าไป ลองสืบเสาะหาว่ามีเว็บไซต์ บล็อค Facebook Page หรือ Line@ ให้คุณตามหรือไม่?
จุดสำคัญที่โรเบิร์ต คิโยซากิเน้นย้ำตลอดหนังสือเล่มนี้ คือ คุณต้องแน่ใจว่ามีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย
วิธีที่ช่วยได้คือ ทำตารางรายรับรายจ่ายเพื่อติดตามเงินจากสินทรัพย์และหนี้สิน ใช้โปรแกรมเช่น Microsoft Excel หรือ Google Sheet เพื่อสร้างตารางที่สามารถอัพเดทรายเดือน สร้างแผนภูมิรายได้ รวมถึงแจกแจงแหล่งเงินในแต่ละเดือนเทียบกับค่าใช้จ่ายและภาษีอื่น ๆ
พยายามตัดรายการค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิตให้มากที่สุด และลงทุนในสินทรัพย์ให้มากขึ้น เพื่อขยับขยายช่องว่างระหว่างรายได้และรายจ่าย
สร้างคอนเนคชั่นกับคนในวงการที่คุณสนใจ คอนเนคชั่นเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณในระยะยาว แลก Line กับเหล่ากูรู เสนอตัวพาไปเลี้ยงข้าว บอกให้เขาทราบว่า คุณต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์ของเขา ไม่ใช่แค่ขอความช่วยเหลือสู่ความร่ำรวยเท่านั้น หากคุณซื่อสัตย์ต่อเจตนารมณ์และเปิดใจรับฟัง คนที่มีความรู้จะพร้อมให้คำแนะนำแก่คุณ
ขอให้เดินทางบนถนนสู่ความมั่งคั่งโดยสวัสดิภาพ
เรียนรู้เรื่องการเงินและวิธีสร้างความมั่งคั่งอย่างเร็วที่สุด
อยากศึกษาเรื่องการเงินและการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?
บิงโกมีคอร์สดีๆ ที่จะสอนทุกอย่างที่คุณต้องรู้ในเวลาอันสั้น ตั้งแต่วิธีบริหารเงิน ออมเงิน วางแผนการเงิน พร้อมสอนวิธีนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยด้วยเทคนิคของมหาเศรษฐีและนักลงทุนชั้นนำ ซึ่งจะร่นเวลาให้คุณบริหารเงินและลงทุนได้อย่างดี แทนที่จะใช้เวลาหลายปีค่อยๆ ศึกษาเอง
หนังสือที่น่าสนใจไม่แพ้ “พ่อรวยสอนลูก”
หนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” นั้นที่จริงเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของอิสรภาพทางการเงินเท่านั้น มันอาจสร้างแรงบันดาลใจให้คุณ แต่คุณยังต้องศึกษาวิธีนำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดีด้วย สนพ.บิงโกขอแนะนำหนังสือที่จะช่วยคุณ “ทำเงิน” โดยละเอียด ดังนี้
- เรย์ ดาลิโอ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับโลก ได้ปล่อยหนังสือชื่อดังอีกเล่มมาที่ชื่อ Principles ซึ่งขายดีติดตลาดในเวลาไม่กี่วันที่วางแผง นักลงทุนทุกคนจะได้เรียนรู้ชีวิตจริงๆ ของชายที่ลงทุนมาทั้งชีวิตจนมีทรัพย์สินกว่า 6 แสนล้านบาท (18.4 พันล้านดอลลาร์)
- ถ้าคุณอยากรู้ว่าบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ในโลกเติบโตระดับ 100 เท่ากันภายใน 5 ปีได้อย่างไร คุณสามารถอุดหนุนหนังสือ ขโมยวิธีคิดสุดเจ๋ง จากสุดยอดโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพ ของบิงโกได้เลย ข้างในเป็นเนื้อหาของโรงเรียนสอนธุรกิจที่โด่งดังที่สุดในโลก ซึ่งสร้างบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Airbnb และ Dropbox ตั้งแต่เจ้าของยังอดมื้อกินมื้อ จนเป็นมหาเศรษฐียักษ์ใหญ่ของโลก
- ไซโตะ โคทัตสึ คือนักธุรกิจชื่อดังจากญี่ปุ่นและยังเป็นที่ปรึกษาให้กับบรรดาบริษัทชั้นนำต่างๆ อีกมากมาย เขาได้ถ่ายทอดความรู้พื้นฐานด้านการทำธุรกิจทั้งหมดเอาไว้ในหนังสือเล่มเดียว นั่นคือ “เปลี่ยนคนธรรมดาให้มีหัวธุรกิจใน 3 ชั่วโมง”
- ในโลกยุคปัจจุบัน เราไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนมากมายสำหรับเริ่มต้นทำธุรกิจอีกต่อไป $100 Startup คือหนังสือที่จะพาคนอ่านไปรู้จักกับการเริ่มต้นทำธุรกิจแบบเล็กๆ ที่ฉีกกรอบความเชื่อแบบเดิมๆ ทิ้งไป
เยียมมากเลยครับผมได้ความรู้แล้วรู้สึกชีวิตมีช่องทางเดินและเปิดโอกาสให้ผมเดินหน้ายังมั่งคง
*ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆน่ะครับ
ขอบคุณมากๆ.. ได้ความรู้ แรงบันดาลใจ❤️💋
เป็นข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์มากๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ
ดีมากเลยครับ ได้ความรู้และแรงบรรดาใจ และได้ไอเดียดีๆมากมาย จากกานอ่านทั้งนี้
ผมสนใจเรียนคอร์สลงทุนของบิงโก เข้าไปอ่านรายละเอียดตรงไหนครับ
ลองเข้าไปอ่านลิงก์นี้นะครับ https://bingobook.co/courses/investing