ถ้าคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ ในการทำธุรกิจว่า “อยากทำธุรกิจให้สำเร็จต้องใช้เงินเยอะ” วันนี้ สนพ.บิงโก ขอนำเสนอหนังสือหนึ่งเล่มที่จะฉีกกรอบความเชื่อนี้ทิ้งไป แล้วชวนคุณมาเริ่มทำธุรกิจด้วยเงินทุนไม่เกิน 100 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,300 บาท) หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า $100 Startup
$100 Startup คือหนังสือขายดีจากฝีมือการเขียนของชายหนุ่มชาวอเมริกันที่มีชื่อว่า คริส กิลเลอโบ (Chris Guillebeau) หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานเล่มที่ 2 ของเขาถัดจากหนังสือเรื่อง The Art of Non-Conformity ซึ่งมันขายดิบขายดีถึงขั้นติดอันดับ New York Times Bestseller อย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มวางขายครั้งแรกในปี 2012 เลยทีเดียว
ตอนนี้คุณอาจมีคำถามว่า “ทำไมถึงเอาหนังสือเกี่ยวกับ Startup มาแนะนำ ไหนบอกว่าเป็นหนังสือสำหรับคนทุนน้อยไง?”
เราขอตอบว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มาเล่าถึงการทำ Startup ยักษ์ใหญ่แบบ Uber, Twitter หรือ Wongnai แต่เนื้อหาจริงๆ ของหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ บนโลกออนไลน์ คริสสัมภาษณ์ผู้ประกอบการมากกว่า 1,000 คนจากทั่วโลก แล้วสรุปทั้งหมดเป็นแนวทางการทำธุรกิจสำหรับคนอ่าน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่คริสสัมภาษณ์เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยทุนต่ำ บางคนใช้ทุนไม่ถึง 100 ดอลลาร์ บางคนใช้ความหลงใหลส่วนตัวเป็นตัวตั้ง และบางคนก็ทำธุรกิจสำเร็จได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว
เรามาไล่เรียงไปพร้อมกันดีกว่าครับว่าหนังสือ $100 Startup มีเนื้อหาอะไรที่น่าสนใจซ่อนอยู่บ้าง
ข้อคิดดีๆ จากหนังสือ $100 Startup
- ธุรกิจออนไลน์เล็กๆ ของคุณสามารถเริ่มได้ง่ายๆ ขอแค่คุณต่อยอดความหลงใหลที่มีออกไป
- ไม่จำเป็นต้องมีทุนหนา ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานเป็น 10 คน ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์จนสมบูรณ์แบบ คุณก็เริ่มทำธุรกิจออนไลน์เองได้
- ถ้าสินค้าและบริการของคุณสามารถทำเงินได้มากกว่า 1 ครั้ง นั่นแปลว่าคุณมีโอกาสทำเงินได้มหาศาล
จากหนุ่มส่งของสู่นักธุรกิจออนไลน์ชื่อดัง
ถ้าจะมีนักเขียนสักคนที่จะถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางการทำธุรกิจเล็กๆ ได้ดีที่สุด หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ คริส กิลเลอโบ
คริสเริ่มต้นอาชีพด้วยการทำงานเป็นพนักงานแพคสินค้าของบริษัท FedEx เขาสนใจด้านการทำธุรกิจออนไลน์จึงหมั่นศึกษาด้วยตัวเองอยู่ตลอด ในที่สุดเขาก็เริ่มทำเงินจากธุรกิจออนไลน์เป็นครั้งแรกด้วยการขายสินค้าในเว็บไซต์ eBay หลังจากขายสินค้าใน eBay จนทำเงินได้มากพอ คริสเลยลาออกจากงานประจำแล้วหันมาทำธุรกิจออนไลน์นี้เต็มตัว
ถึงคริสจะทำเงินได้มากมายจากการขายสินค้าใน eBay แต่เขาก็รู้ดีว่าวันหนึ่งตลาดนี้ต้องอิ่มตัว ทุกคนต้องสู้กันในสมรภูมิการค้าอันดุเดือด พ่อค้าอย่างเขาไม่มีทางกุมอำนาจทางธุรกิจใดๆ ได้เลย ดังนั้นทางรอดเดียวที่เขาเชื่อมั่นก็คือ “ขายสินค้าของตัวเอง”
สินค้าของคริสก็คือ “ความรู้” เขาถ่ายทอดมันออกมาในรูปแบบอีบุ๊ค คนที่สนใจสามารถจ่ายเงินแล้วเข้ามาโหลดอ่านได้ทันที วิธีนี้ช่วยให้คริสมีอิสระในการทำเงิน ถ้างานเขียนของเขาดี คนอ่านก็เต็มใจจ่ายเงินเพื่ออ่านมัน พอคริสมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้น ในที่สุดเขาก็มีผลงานหนังสือออกตีพิมพ์ตามมาอีกหลายเล่มด้วยกัน
คุณเห็นไหมครับว่าคริสไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมากมายเลยในการเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ของตัวเอง เขาอาจต้องจ่ายเงินบ้างเพื่อสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา แต่สุดท้ายสินค้าของเขาก็เกิดจาก “ความรู้” ของเขาเอง
ตอนนี้คุณอาจมีคำถามอีกว่า “ฉันรู้ว่าเขียนอีบุ๊คขาย มันไม่ต้องใช้ทุนเยอะ แต่ปัญหาคือฉันจะขายอย่างไรต่างหาก”
งั้นเรามาดูกันครับว่าคริสมีแนวคิดอะไรดีๆ มาตอบคำถามนี้
ปัจจัย 3 ข้อในการเริ่มทำธุรกิจ
คริสบอกว่าการเริ่มต้นทำธุรกิจนั้นขอเพียงมีปัจจัยครบทั้ง 3 ข้อคือ
- สินค้าหรือบริการ
- ลูกค้า
- วิธีชำระเงิน
คุณลองนึกถึงร้านขายหมูปิ้งของคุณป้าหน้าออฟฟิศดูก็ได้ครับ สินค้าของป้าคือ หมูปิ้งกับข้าวเหนียวร้อนๆ ลูกค้าคือ คุณและคนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมา วิธีชำระเงินคือ จ่ายเป็นเงินสด หรือถ้าคุณป้าทันสมัยหน่อยก็อาจรับโอนเงินผ่านโมบาย แบงก์กิ้งด้วย
คราวนี้เราลองเปลี่ยนตัวอย่างเป็นธุรกิจบนโลกออนไลน์จริงๆ กันบ้าง เราอยากให้คุณนึกถึงร้านขายเสื้อผ้าคนอ้วนออนไลน์ สินค้าของร้านคือ เสื้อผ้าสำหรับคนอ้วน ลูกค้าคือ คนอ้วนที่หาเสื้อผ้าใส่ตามร้านทั่วไปยาก วิธีชำระเงินคือ โอนเงินผ่านโมบาย แบงก์กิ้ง เนื่องจากร้านนี้ไม่มีหน้าร้าน แต่จะเปิดเพจเฟซบุ๊คไว้รับลูกค้านั่นเอง
ในการเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ คุณมีเครื่องมือให้เลือกใช้มากมาย ถ้าคุณอยากขายสินค้า คุณอาจเปิดบัญชีหน้าร้านกับแอพพลิเคชั่นอย่าง shopee หรือ lazada จากนั้นคุณก็จัดการวิธีชำระเงินให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้คุณก็เริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ของตัวเองได้แล้ว
ใช้ “ความหลงใหล” สร้างธุรกิจ
คุณหลงใหลอะไรบ้างครับ?
แต่ละคนจะมีความหลงใหลแตกต่างกันไป เช่น ทำอาหาร เขียนนิยาย อ่านหนังสือ วิเคราะห์หุ้น ออกกำลังกาย วิ่งมาราธอน เล่นเกม ท่องเที่ยว ขายของ ออกแบบเสื้อผ้า ฯลฯ บางคนอาจหลงใหล 1 อย่าง ส่วนบางคนก็อาจหลงใหลหลายอย่าง
สมมติว่าคุณหลงใหลในด้านการทำอาหาร คุณก็ใช้ความหลงใหลนี้เป็นจุดเริ่มทำธุรกิจได้เลย ขอเพียงคุณมองให้ออกว่า “ความหลงใหลของคุณตรงกับสิ่งที่คนอื่นสนใจหรือไม่” เช่น คุณหลงใหลการทำขนมไทย แล้วคนไทยสมัยนี้ก็อยากกินขนมไทยโบราณที่หากินยาก แสดงว่าความหลงใหลของคุณผ่านเกณฑ์ขั้นแรกเรียบร้อย
ลำพังแค่ความหลงใหลอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะคุณต้องมี “ทักษะ” ในสิ่งที่หลงใหลด้วย ต่อให้คุณรู้ว่าคนไทยอยากกินขนมไทยโบราณ แต่คุณไม่สามารถทำมันให้อร่อยได้ ความหลงใหลในขนมไทยที่คุณมีไม่มีทางใช้ทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จได้เลย
มอบ “คุณค่า” ให้กับลูกค้า
คุณมีความหลงใหลและทักษะสำหรับเริ่มทำธุรกิจแล้ว อันดับต่อไปก็คือ “สร้างคุณค่า” ให้กับสินค้าและบริการของคุณ
คริสบอกว่า คุณค่าคือการช่วยเหลือผู้คน ธุรกิจไหนที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ธุรกิจนั้นก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง ซึ่งวิธีหาคุณค่าให้กับสินค้าและบริการของคุณมีอยู่ 3 วิธี ดังนี้
- มองหาความต้องการจริงๆ ของลูกค้า
- ขายสิ่งที่ทำให้ลูกค้าดูเก่งและดูดี
- ขายสิ่งที่ลูกค้าอยากซื้อ ไม่ใช่เราอยากขาย
คริสสรุปง่ายๆ ว่าสุดท้ายแล้วคนเราก็มี “สิ่งที่อยากมีเพิ่ม” และ “สิ่งที่อยากมีน้อย” สิ่งที่อยากมีเพิ่ม เช่น เงิน ความรัก เวลา ฯลฯ ส่วนสิ่งที่อยากมีน้อย เช่น ความเครียด ความยุ่งยาก หนี้สิน ฯลฯ
สมมติว่าคุณหลงใหลการทำขนมไทย คุณทำมันเก่งและยังอร่อยด้วย คุณจึงเริ่มธุรกิจเปิดคอร์สสอนทำขนมไทยโบราณ คุณค่าที่ธุรกิจของคุณมอบให้กับลูกค้าก็คือ “เวลา” เพราะลูกค้าที่มาเรียนกับคุณไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเพื่อเรียนทำขนมด้วยตัวเอง หรืออาจจะเป็น “เงิน” เพราะลูกค้าอยากได้ทักษะนี้ไปต่อยอดทำขนมไทยขายที่ร้านของตัวเองต่อไป
เทคนิคอีกอย่างหนึ่งที่คริสแนะนำก็คือ “อย่าไปสอนลูกค้าจับปลา ขายปลาให้เขาเลย!”
เทคนิคนี้อาจฟังดูแปลกหูไปบ้าง เพราะคุณคงเคยได้ยินคำสอนว่า “สอนลูกให้จับปลา” มันคือการสอนให้คนหนึ่งรู้จักวิธีทำมาหากินเพื่อประกอบอาชีพต่อไป แต่สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังจะเริ่มทำธุรกิจแล้ว คริสแนะนำให้คิดในมุมตรงกันข้าม
ลองนึกถึงร้านขายหมูปิ้งของคุณป้าหน้าออฟฟิศอีกครั้ง คุณเสียเวลาไปมากกับการเดินทางมาออฟฟิศจนเหลือเวลาไม่มากก่อนเข้างาน คุณจึงเดินไปหาคุณป้าหมูปิ้งเพื่อซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งขึ้นไปกินบนออฟฟิศ คุณในฐานะลูกค้าอยากได้ข้าวเหนียวหมูปิ้งเป็นอาหารเช้า คุณป้าหมูปิ้งก็ขายสิ่งนั้นให้คุณ คุณได้อาหาร คุณป้าได้เงิน แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเข้าไปซื้อหมูปิ้งแล้วคุณป้ากลับจะขายสูตรหมักหมูปิ้งแสนอร่อยให้คุณแทน?
คุณคงหัวเสียที่อดกินข้าวเหนียวหมูปิ้ง และนั่นแปลว่าคุณป้าหมูปิ้งเสียโอกาสในการขายครั้งนี้เรียบร้อย
เริ่มให้เร็ว ลงทุนให้น้อย
ไม่มีใครรู้อย่างชัดเจนได้หรอกครับว่า “ธุรกิจจะไปได้สวยขนาดไหน” ดังนั้นคำแนะนำของคริสสำหรับคนที่อยากเริ่มทำธุรกิจก็คือ “เริ่มให้เร็ว ลงทุนให้น้อย”
ยิ่งคุณเปิดคอร์สสอนทำขนมไทยเร็วเท่าไร คุณจะรู้เองว่าอนาคตของธุรกิจนี้เป็นอย่างไร คุณควรหันไปสนใจกับการหาลูกค้ามากกว่าเสียเวลาตั้งมากไปกับการพัฒนาคอร์สสอนทำขนมให้สมบูรณ์แบบ ต่อให้คอร์สของคุณจะดีเลิศแค่ไหน แต่ถ้าคุณหาลูกค้าไม่ได้ คอร์สของคุณก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลย เมื่อคุณหาลูกค้าได้แล้ว คุณค่อยเอาเวลาไปพัฒนาคอร์สของคุณเรื่อยๆ ก็ยังได้
นอกจากนี้คริสยังบอกด้วยว่าคุณไม่จำเป็นต้องเขียนแผนธุรกิจให้ยาวยืดและละเอียดยิบ แผนธุรกิจออนไลน์ของคุณควรจะเรียบง่ายและจบทุกประเด็นในกระดาษแผ่นเดียว
แผนธุรกิจง่ายๆ ในกระดาษแผ่นเดียวนั้นประกอบไปด้วย
- สินค้าและบริการของคุณคืออะไร?
- คุณจะขายเท่าไร?
- ลูกค้าจะหาสินค้าและบริการของคุณได้อย่างไร?
- ปัญหาที่ต้องเจอคืออะไร? และจะแก้ไขมันอย่างไร?
- เป้าหมายแรกในการขายคืออะไร?
ไม่จำเป็นต้องขายถูกเสมอไป
สมมติว่าคุณสอนให้ลูกค้าที่ทำขนมไทยไม่เป็นเลยให้เก่งขึ้นได้ใน 3 วัน คุณคิดว่าราคาคอร์สของคุณควรเป็นเท่าไรครับ?
คริสแนะนำว่าการตั้งราคาขายไม่จำเป็นต้องตั้งให้ถูกเข้าไว้เพื่อดึงลูกค้าเสมอไป ถ้าคุณสามารถช่วยแก้ปัญหาทั้งชีวิตของลูกค้าได้ภายในระยะเวลาอันสั้น คุณก็มีสิทธิ์จะตั้งราคาให้สมน้ำสมเนื้อกับความรู้ที่คุณถ่ายทอดออกไป
นอกจากนี้คริสยังแนะนำให้สินค้าและบริการของคุณควรจะมีระดับราคาแบบขั้นบันได เช่น ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง (คุณสามารถตั้งชื่อให้ดูดีกว่านี้ได้นะครับ) โดยแต่ละระดับจะมีราคาและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับแตกต่างกันไป
ตัวอย่างเช่น คุณเปิดคอร์สสอนทำขนมไทย ระดับต่ำอาจเป็นคอร์สปูพื้นฐานความรู้เบื้องต้น แบ่งเป็นอบรม 3 ชั่วโมง และฝึกปฏิบัติ 3 ชั่วโมง ในราคา 900 บาทต่อคน ส่วนระดับสูงอาจเป็นคอร์สขนมไทยโบราณ 10 เมนู ใช้เวลาฝึกปฏิบัติ 30 ชั่วโมง ในราคา 5,000 บาทต่อคน เป็นต้น
คำแนะนำสุดท้ายเกี่ยวกับการตั้งราคาของคริสก็คือ คุณควรหาวิธีทำเงินจากสินค้าและบริการของคุณให้ได้มากกว่า 1 ครั้งขึ้นไป ธุรกิจที่คริสแนะนำว่าเหมาะสำหรับทำธุรกิจออนไลน์ขนาดเล็กมากที่สุดก็คือ การทำสื่อสิ่งพิมพ์แบบดิจิตอล เช่น อีบุ๊คที่เขียนเกี่ยวกับความรู้แบบเฉพาะทาง เพราะนอกจากคุณจะทำเงินจากอีบุ๊คเล่มเดียวได้เรื่อยๆ แล้ว คุณยังสามารถทำงานจากมุมไหนของโลกก็ได้ทั้งนั้น
ตอนนี้คุณก็เรียนรู้วิธีเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์เล็กๆ กันไปแล้ว ถ้าคุณอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างสินค้าและบริการให้ฮิตติดลมบน สนพ.บิงโก อยากให้คุณลองอ่านหนังสือเรื่อง The Tipping Point คัมภีร์ปั้นผลิตภัณฑ์ให้ฮิตระบาดอย่างรวดเร็ว เพิ่มเติมดูนะครับ
สรุปสุดท้ายก่อนวางหนังสือ $100 Startup
ความจริงแล้วหนังสือ $100 Startup ยังมีเรื่องราวอีกมากให้คุณได้อ่านและศึกษากัน ไม่ว่าจะเป็นการมองหาลูกค้า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และการต่อยอดธุรกิจในอนาคต เรียกได้ว่าคริสเก็บข้อมูลมาครบตั้งแต่ก่อนเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ไปจนถึงการขยายธุรกิจเลยทีเดียว แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่เราสัมผัสได้จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ “วิธีเริ่มทำธุรกิจได้ทันทีโดยไม่ต้องมีทุนเยอะ”
นอกจากนี้ภายในเล่มยังมีตัวอย่างผู้ประกอบการอีกมากให้คุณได้ศึกษาเป็นแนวทาง ทั้งครูสอนภาษาออนไลน์ นักจองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
หนังสือ $100 Startup จึงเป็นหนังสือดีอีกเล่มที่เราอยากแนะนำให้คนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจลองอ่านดูสักครั้งก่อนลงสนามจริง
คริส กิลเลอโบ ยังมีหนังสือขายดีติดอับดับที่น่าสนใจอีกมาก ทั้งหนังสือเกี่ยวกับแง่มุมธุรกิจและการแสวงหาความสุขของชีวิต ถ้าคุณสนใจลองคลิกเข้าไปดูในเว็บไซต์ของเขาได้เลยครับ
นอกจากคริส กิลเลอโบ จะแนะนำให้คุณเริ่มต้นทำธุรกิจจากความหลงใหลแล้ว แกรี่ เวเนอร์ชุค ยอดนักธุรกิจอันดับต้นๆ ของโลกก็แนะนำไปในทางเดียวกันว่า “จงเปลี่ยนสิ่งที่คุณรักให้เป็นเงิน” ถ้าคุณอยากอ่านวิธีเปลี่ยนงานอดิเรกสุดรักให้เป็นอาชีพทำเงิน ลองอ่านสรุปหนังสือเรื่อง “Crush it” กันดูนะครับ
หนังสืออื่นที่น่าสนใจไม่แพ้ $100 Startup
พบกับหนังสือแปลจากญี่ปุ่น “เปลี่ยนคนธรรมดาให้มีหัวธุรกิจใน 3 ชั่วโมง” ซึ่งรวม “ทุกวิธีคิด” ในโลกธุรกิจไว้ครบในที่เดียว ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงแนวคิดที่ทันสมัยที่สุด แค่ใช้เวลาอ่านไม่นาน คุณจะพัฒนาจากคนที่เริ่มต้นเรียนรู้ เป็นคนที่เข้าใจธุรกิจได้ลึกซึ้ง พร้อมเข้าใจการเงิน กลยุทธ์ และการตลาดของบริษัทต่างๆ ได้สบาย เหมาะกับทั้งคนที่เริ่มสนใจธุรกิจ และคนที่อยากเติมความรู้เก่าให้ครบถ้วน
เจาะลึกบทเรียนล้ำค่าที่ถูกเก็บเป็นความลับเฉพาะในหมู่นักธุรกิจและนักลงทุน ส่งตรงจากศูนย์กลางสตาร์ทอัพอันดับ 1 ของโลก
- Airbnb บริษัทที่เคยขายอาหารเช้า แต่พลิกวิกฤติเป็นโอกาสจนปฏิวัติวงการโรงแรมได้
- Dropbox บริการฝากไฟล์ออนไลน์ที่ล้มผลิตภัณฑ์ของสตีฟ จอบส์ มาแล้ว
- Twitch แพลทฟอร์มสตรีมเกมที่เริ่มจากไอเดียเล็กๆ แต่ทะยานสู่อันดับ 1 ภายใน 2 ปี
บริษัทเหล่านี้เปลี่ยนจากธุรกิจเล็กๆ เป็นยักษ์ใหญ่สะเทือนวงการได้ในเวลาอันสั้น แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า พวกเขาเป็นศิษย์ที่ร่ำเรียนมาจากสำนักเดียวกัน และคุณก็เรียนรู้วิธีคิดของพวกเขาได้ในหนังสือขโมยวิธีคิดสุดเจ๋ง จากสุดยอดโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพ
หนังสือเล่มนี้จะประคองให้คุณเริ่มก้าวจาก 0 ไปถึงจุดที่คุณสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพของตัวเองได้ใน 7 วัน
หนังสือสตาร์ทอัพสร้างได้ใน 7 วันเล่มนี้ อิงจากประสบการณ์จริงของแดน นอริส ผู้เคยเป็นเจ้าของธุรกิจที่ล้มเหลวต่อเนื่องเกือบสิบปี แต่แล้วเขาก็กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพที่โต 400% ทุกปี ที่สำคัญเขาใช้เวลาเริ่มต้นธุรกิจนี้เพียง 7 วันเท่านั้น
Pingback: สรุปหนังสือ Crush It! เปลี่ยนงานอดิเรก ให้กลายเป็นงานประจำ ที่ทำเงินดีสุดๆ
Pingback: สรุปหนังสือ Purple Cow อยากสำเร็จต้องเป็นวัวสีม่วง - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ Rich Dad Poor Dad พ่อรวยสอนลูก | 10 คำสอนของ คนรวย