“เงินเฟ้อ” คืออะไร? ทำไมอยู่เฉยๆ คุณก็จนลง

“เงินเฟ้อ” คืออะไร?…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บะหมี่เคยชามละ 5 บาท

ที่ดินย่านสีลมเคยตารางเมตรละ 1000 บาท

รถยนต์คันละ 5000 บาท

สิ่งต่างๆ เคยราคาถูกกว่าตอนนี้

คำว่า “เศรษฐีเงินล้าน” เคยหมายถึงคนที่ร่ำรวยมากๆ ขนาดที่ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ได้สบาย ไม่ใช่เงินล้านสมัยนี้ซึ่งซื้อห้องคอนโดแคบๆ บางพื้นที่ยังไม่ได้เลย

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า เงินเฟ้อ (Inflation) ครับ มันคือการที่ข้าวของแพงขึ้นทุกวันโดยเราไม่รู้ตัว แล้วพอเรามองย้อนกลับไป ก็พบว่าค่าอาหารแพงขึ้นตั้ง 10 เท่าแล้ว

มันสำคัญกับเรายังไง? อันตรายถึงชีวิตไหม? มาดูกันครับ

 

เงินเฟ้อ อยู่เฉยๆ เงินก็กลายเป็นผง

"เงินเฟ้อ" คืออะไร? 1
เงินของคุณหายไปเรื่อยๆ ทุกปี

เราทุกคนทำงานเก็บเงิน เพื่อหวังว่าเงินเก็บนั้นจะเป็นหลักประกันให้เรายามแก่เฒ่า หรือช่วยให้เรามีชีวิตที่สุขสบายในอนาคต (ลองคำนวณกันว่าต้องออมเงินเท่าไรจึงพอเกษียณ?)

แต่คุณจะว่ายังไง ถ้าผมบอกว่าเงินที่คุณเก็บไว้มันกลายเป็นผงไป 3% ทุกปี?

3% นั่นคือตัวเลขเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทุกปีโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ ข้าวของต่างๆ มันกำลังแพงขึ้นปีละ 3%

เงินของคุณมีค่าเท่ากับสิ่งของที่ซื้อได้ และถ้าข้าวของแพงขึ้น เงินของคุณก็กำลังมีค่าน้อยลง

 

ถ้าคุณมีเงิน 100 บาท ปีหน้าคุณก็ยังมี 100 บาทนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าเงินก้อนเดิมของคุณมันซื้อของได้น้อยลง เท่ากับว่าความมั่งคั่งของคุณลดลงโดยอัตโนมัติทุกปี

เวลาคุณทำงานเก็บเงิน คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองมีเงินเก็บเยอะขึ้น แต่ถ้าคุณเก็บไว้เฉยๆ ไม่ทำให้เงินนั้นงอกเงย เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะมีค่าลดลงเรื่อยๆ เหมือนกล่องที่มีรูรั่ว น้ำข้างในจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

 

รวยไปกับไทม์แมชชีนโดเรม่อน

โดเรม่อนกับโนบิตะ
โดเรม่อนกับโนบิตะ

ตอนผมเป็นเด็ก ผมชอบดูโดเรม่อนมาก มันคือการ์ตูนที่มีหุ่นยนต์แมวที่มีของวิเศษหลากหลายชนิด โดเรม่อนจะคอยเอาของวิเศษมาช่วยเด็กขี้แยชื่อโนบิตะ แต่ไม่ว่าของจะดีแค่ไหน โนบิตะก็ใช้ผิดวิธีจนชีวิตพังเสมอ

มีตอนหนึ่งที่โนบิตะอยากรวย เขาจึงเอาเงิน 100 เยนไปฝากธนาคาร และเนื่องจากธนาคารจะให้ดอกเบี้ยทุกปี ถ้าเขานั่งไทม์แมชชีนไปยังอนาคตอีกพันปีข้างหน้า เงิน 100 เยนของเขาก็จะเติบโตเป็นเงินจำนวนมหาศาล

พอคิดได้แล้วโนบิตะก็เลยเอาเงินไปฝากธนาคาร แล้วนั่งไทม์แมชชีนไปอนาคต เพื่อเบิกเงินก้อนโตของเขา

 

โนบิตะได้เงินมา 1000 ล้านเยน! เขารวยเลยทีเดียว แต่เขากลับพบว่าขนมในยุคนั้นกล่องละ 5000 ล้านเยน สรุปคือโนบิตะกลายเป็นเศรษฐีพันล้านก็จริง แต่พันล้านของเขาซื้อไม่ได้แม้กระทั่งขนมกล่องเดียว มันไม่มีค่าอะไรเลย

สาเหตุก็คือ เงินเฟ้อ > ดอกเบี้ยธนาคาร ครับ ถ้าดอกเบี้ยธนาคาร 1.5% แต่เงินเฟ้อ 3% เท่ากับว่าคุณมีจำนวนเงินในธนาคารมากขึ้นก็จริง แต่เงินที่มากขึ้นนั้นกำลังซื้อของได้น้อยลง เพราะสิ่งของมันแพงขึ้นเร็วกว่าดอกเบี้ยของคุณ

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันครับ ถ้าคุณทำงานแล้วเอาเงินไปฝากธนาคารไว้เฉยๆ สุดท้ายมันก็จะเสื่อมค่าลงเองโดยอัตโนมัติ เพราะดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ

 

สาเหตุของเงินเฟ้อ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับเรา

เงินเฟ้อคือการที่สินค้าและบริการแพงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการที่สินค้าแพงขึ้น มี 3 สาเหตุ

  1. สินค้าขาดแคลน
  2. เศรษฐกิจดี คนมีเงิน จึงยอมจ่ายแพง เจ้าของธุรกิจก็ขึ้นราคาได้
  3. รัฐบาลพิมพ์เงินจนเงินไม่มีค่า ราคาสินค้าก็ปรับขึ้นเพื่อสะท้อนคุณค่าเงินที่ลดลง

บางครั้งสินค้าขาดแคลน คนก็ต้องแย่งกันซื้อสิ่งจำเป็นเพื่อให้มีชีวิตรอด เช่นในเวเนซูเอลา ผู้คนอดอยากไม่มีข้าวกิน กระทั่งอาหารก็ขาดแคลน ราคาอาหารจึงพุ่งทะลุเพดาน หรือถ้าเราได้ยินข่าว “สงครามในตะวันออกกลาง” เราจะเห็นราคาน้ำมันขึ้น เพราะน้ำมันผลิตได้น้อยลงนั่นเอง

บางช่วงที่เศรษฐกิจดี คนมีเงินจับจ่ายใช้สอย ราคาสินค้าจะสูงขึ้นเองตามธรรมชาติ แบบนี้ถือว่าดีครับ เป็นเงินเฟ้อช่วงเศรษฐกิจดี

และกรณีสุดท้าย รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาเยอะจนเงินมีค่าลดลง ราคาสินค้าก็สูงขึ้นตามมา

 

รัฐบาลไม่ได้สนใจคุณ แต่สนใจธุรกิจรายใหญ่

"เงินเฟ้อ" คืออะไร? 3
รัฐบาลอยากให้เงินเฟ้อ เพราะดีกับธุรกิจ

 

คุณอาจคิดว่ารัฐบาลจะต้องมีคนมาแก้ปัญหาเงินเฟ้อ หรือมันเป็นเรื่องบังเอิญที่อาจไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก

เข้าใจผิดถนัดครับ

เงินเฟ้อเป็นแผนการของรัฐบาลครับ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีกระทั่ง “เงินเฟ้อเป้าหมาย” หรือพูดอีกแง่นึงก็คือ ถ้าเงินไม่เฟ้อตามเป้า เขาจะพิมพ์เงินอัดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจให้เงินเฟ้อขึ้นเอง

พอมีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น สินค้าก็จะแพงขึ้นเอง จนกระทั่งเงินเฟ้อตามเป้าถึงจะหยุด

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบง์กชาติ มีแผนจะให้เงินเฟ้อทุกปี

 

แล้วรัฐบาลจะทำแบบนั้นไปทำไม? ทำไมเขาอยากให้เงินเฟ้อจัง?

เวลาเงินเฟ้อ ธุรกิจต่างๆ ก็สามารถขึ้นราคาสินค้าได้ง่ายขึ้น มันจึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ให้มีกำไรสูงขึ้น แลกกับการที่เงินเก็บในธนาคารของเราทุกคนมีค่าลดลง

รัฐบาลรู้ไหม? รู้ครับ แต่ความมั่งคั่งของคุณไม่ใช่สิ่งสำคัญ เมื่อเทียบกับกำไรของเจ้าของธุรกิจต่างๆ

เรื่องมันก็เท่านั้น

 

อภิมหาเงินเฟ้อ หรือ Hyperinflation

คุณจะเห็นคนเข็นรถเข็นใส่เงินไปจ่ายตลาด

ใช้เงินแทนเชื้อเพลิงจุดไฟ

ในเยอรมนีช่วงสงครามโลก คนเลิกใช้เงินไปเลย แล้วหันไปใช้บุหรี่แลกสินค้าแทนเงิน

นี่คือ “อภิมหาเงินเฟ้อ” หรือ Hyperinflation

ปกติรัฐบาลจะค่อยๆ แอบพิมพ์เงิน เงินเฟ้อจึงไม่สูงมากนัก เราจะเห็นสินค้าราคาแพงขึ้น 1-3% ต่อปีเท่านั้น

แต่ถ้ารัฐบาลจนแต้ม เศรษฐกิจตกต่ำเกินจะกอบกู้ด้วยวิธีปกติ รัฐบาลจะพิมพ์เงินออกมาใช้จ่ายสูงเกินที่เศรษฐกิจรับได้ เมื่อเงินท่วม ราคาสินค้าก็ปรับสูงขึ้นหลายร้อย พัน หรือหมื่น % ภายในเวลาไม่กี่เดือน

เราเห็นปรากฏการณ์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ครับ

  • ไทยช่วงสงครามโลก
  • เยอรมนีช่วงสงครามโลก
  • เงินหยวนจีนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม
  • เวเนซูเอลาในปัจจุบัน (ตอนนี้เงินเฟ้อเกิน 10,000,000% แล้ว)

ถ้าเกิด Hyperinflation ขึ้น เงิน 10 ล้านที่คุณฝากไว้ในธนาคารจะไม่มีค่าอีกต่อไป เพราะตอนนี้ข้าวมันไก่จานละ 100 ล้านแล้ว

แต่รู้ไหมว่าอะไรยังมีค่าอยู่? มันคือ “ทรัพย์สินที่เป็นสิ่งของ” เช่นทองคำ หุ้น และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีค่าในตัวของมันเอง สิ่งเหล่านี้จะมีราคาสูงขึ้นตามเงินเฟ้อครับ

 

ถ้าชนะไม่ได้ ก็ต้องเข้าร่วม

"เงินเฟ้อ" คืออะไร? 4
ถ้าไม่อยากเป็นทาสของทุนนิยม คุณต้องเริ่มลงทุนกับเขาบ้าง

นึกภาพทางเลื่อนที่เลื่อนถอยหลังไปเรื่อยๆ

ถ้าคุณเดินช้ากว่าทางเลื่อน คุณจะไม่มีทางไปถึงเป้าหมายได้

คุณก้าวไปหนึ่งก้าว ก็เลื่อนถอยมาสองก้าว ยิ่งห่างไกลจากสิ่งที่คุณต้องการขึ้นทุกวัน

แค่คุณอยู่เฉยๆ ก็เลื่อนไปข้างหลังเองแล้ว

 

เงินเก็บของคุณก็เช่นกัน ถ้าคุณไม่ทำอะไรกับเงินเก็บ มันก็จะถอยหลังไปเอง หรือถ้าคุณเอาไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ ก็ยังถอยหลังอยู่ดี

ถ้าคุณอยากไปข้างหน้า คุณต้องก้าวให้เร็วกว่าเงินเฟ้อ

นั่นคือสาเหตุที่คุณต้องมีความรู้ทางการเงิน และเริ่มต้นลงทุน นั่นเองครับ

อย่าลืมว่าเงินเฟ้อเป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือเจ้าของธุรกิจ นโยบายนี้ไม่มีวันหยุด ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม

แต่คุณสามารถย้ายฝั่งได้

เมื่อคุณเป็นฝั่งนักลงทุน คุณก็จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ และสร้างความมั่งคั่งให้งอกเงยขึ้นได้ ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปมากแค่เริ่มลงทุน

 

มือใหม่เริ่มต้นลงทุนง่ายๆ วันนี้

ถ้าคุณเพิ่งหัดเริ่มต้นลงทุน หรือกำลังสนใจอยากเริ่ม คุณสามารถอ่านขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมสรุปไว้ให้แล้วได้เลยครับ

นอกจากนี้ ลองอ่านวิธีลงทุน 4 สไตล์ในโลกเพื่อหาแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง โดยวิธีที่ผมแนะนำคือการลงทุนแนวเน้นคุณค่าหรือ VI ซึ่งเป็นสไตล์ที่นิยมที่สุด และคุณยังอาจเข้าไปดูเทคนิควิเคราะห์งบการเงินสำหรับมือใหม่ครับ

ลองดูหุ้น 6 ชนิดของปีเตอร์ ลินช์ ว่าคุณชอบหุ้นแนวไหน และถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มหาหุ้นตัวแรกของคุณกันเลย

หรือถ้าคุณอยากหาหนังสือหุ้นมาอ่านเพิ่มเติม ผมได้ลิสต์หนังสือดีๆ ไว้ให้คุณอ่านเรียบร้อยแล้ว

 

เรียนคอร์สลงทุน “นักลงทุนมือหนึ่งของโลก”

คอร์สลงทุน บิงโก

อยากศึกษาเรื่องการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?

บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูง มือใหม่เรียนจบก็พร้อมลงทุนจริงได้เลย

คอร์สนี้ถูกออกแบบให้พิเศษกว่าคอร์สลงทุนทั่วไป เพราะมาจากหนังสือลงทุนของเซียนหุ้นระดับโลก ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, เบนจามิน เกรแฮม, ดร.นิเวศน์ และอื่นๆ จนเหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” ทุกเล่มที่เราคัดมาคือหนังสือลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “ของจริง” และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว

ดูรายละเอียด

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก