“ไม่ว่าเราจะทำอาชีพใด เราต้องเป็นพนักงานขายเสมอ”
ผมปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า คำกล่าวที่ยกมานี้ช่างพูดได้ถูกใจจริงๆ เพราะหนึ่งในทักษะที่จะช่วยให้ทุกคนก้าวหน้าในสายงานได้อย่างรวดเร็วก็คือ “ทักษะการขาย” นั่นเอง
แต่วันนี้ผมจะไม่มาพูดถึงทักษะการขายสมัยใหม่ทำนองว่า “ยิง AD อย่างไรให้โดนใจ” “ตั้งโปรโมชั่นแบบไหนถึงได้ผล” หรือ “ตั้งราคาขายอย่างไรให้มีกำไร” เพราะผมขอพาทุกคนย้อนกลับไปสู่หลักพื้นฐานสุดๆ ของการขายจากหนังสือเก่าแก่ที่กาลเวลาทำร้ายเนื้อหาไม่ได้ใน “The Greatest Salesman in the World”
หนังสือ The Greatest Salesman in the World เป็นผลงานของอ็อก แมนดิโน ซึ่งถูกตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1968 ถึงแม้หนังสือจะเก่าแต่ใจความสำคัญของมันยังทรงพลังแถมยังอ่านสนุก เพราะแมนดิโนได้เขียนถึง “เทคนิคการเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จ” ผ่านเรื่องเล่าของเด็กเลี้ยงอูฐผู้ต่ำต้อยนามว่า ฮาฟิด
ฮาฟิดทำอย่างไรถึงเปลี่ยนตัวเองจากเด็กเลี้ยงอูฐเป็นชายที่ประสบความสำเร็จได้ บทความชิ้นนี้จะเฉลยคำตอบให้คุณ!
รวมข้อคิดดีๆ ที่หนังสือ The Greatest Salesman in the World อยากบอกคุณ
- ยิ่งคุณมีนิสัยที่ดีในตัวมากเท่าไหร่ คุณยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากเท่านั้น
- พลังของความรักสามารถสร้างเส้นทางไปสู่ความสำเร็จได้
- คุณไม่มีทางหลีกเลี่ยงความล้มเหลวพ้น แต่เสียงหัวเราะของคุณสามารถรับมือกับมันได้ดีกว่าที่คุณคิด
ไม่มีใครขายเก่งตั้งแต่เกิด
ฮาฟิดเป็นเด็กเลี้ยงอูฐผู้ต่ำต้อย เขาทำงานรับใช้พาทรอส พ่อค้าที่แสนร่ำรวย ในแต่ละวัน คาราวานของพาทรอสจะส่งพ่อค้าไปยังเมืองต่างๆ เพื่อขายสินค้า หน้าที่ของฮาฟิดก็คือดูแลอูฐทุกตัวให้ดี
วันหนึ่งฮาฟิดเกิดประทับใจในความงามของหญิงสาวผู้เลอโฉม ฮาฟิดรู้ตัวเองดีว่าฐานะอันต่ำต้อยของเขาไม่คู่ควรกับเธอเลยแม้แต่น้อย ฮาฟิดจึงตัดสินใจไปขอโอกาสและความรู้จากพาทรอส ฮาฟิดอยากได้วิชาการค้าขายเพื่อสร้างฐานะและยกระดับชีวิตของตัวเองขึ้นมา
กว่าฮาฟิดสร้างฐานะให้ตัวเองจนได้รับการยอมรับและเก่งกาจด้านการขาย เขาเองก็เริ่มจากศูนย์ เขาไม่ได้ขายเก่งมาแต่เกิด แต่ด้วยความรู้ที่ได้จากพาทรอส เขาจึงเปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็น “สุดยอดนักขาย” ในที่สุด
จงเป็นทาสของนิสัยที่ดี
สิ่งสำคัญที่พาทรอสสอนฮาฟิดก็คือ “จงสร้างนิสัยที่ดีแล้วตกเป็นทาสของมัน”
ถ้าคุณอยากมีสภาพร่างกายและจิตใจที่ดีเพื่อพร้อมรับมือกับทุกอย่าง คุณก็ต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้ดีด้วย ซึ่งคุณสามารถเริ่มได้ง่ายๆ ด้วยการสร้างนิสัยที่ดี
ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ครับ
ผมชอบความอบอุ่นและสุขสบายบนเตียงนอน ซึ่งมันทำให้ผมเผลอนอนยาวเกินไปจนตื่นสายอยู่บ่อยๆ พอตื่นสาย ผมก็ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว หาอะไรลูบท้องได้ก็กินๆ เข้าไปก่อน เพื่อรีบไปทำงานให้ทัน
นิสัยขี้เกียจเล็กน้อย (อาจไม่น้อยนักหรอกครับ) บวกกับความขี้เซาเป็นนิสัยที่ไม่ดีเอาเสียเลย ความจริงแล้วผมควรจะนอนให้เต็มอิ่ม ตื่นแต่เช้าเพื่อออกกำลังกายเบาๆ สักครึ่งชั่วโมง และจากนั้นค่อยหาอาหารดีๆ มีประโยชน์ทานตอนเช้าก่อนเดินทางไปทำงาน ซึ่งผมทำได้ง่ายๆ โดยหัดนอนเร็วและตื่นเช้าจนเป็นนิสัยนั่นเอง
แม้การเริ่มต้นสร้างนิสัยที่ดีจะยากในตอนแรก แต่เมื่อคุณหมั่นทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ คุณก็จะทำมันไปโดยอัตโนมัติและเอาชนะนิสัยที่ไม่ดีได้ในที่สุด
ถ้าคุณอยากเปลี่ยนตัวเองด้วยการสร้างนิสัยที่ดีแบบจริงจัง ตามไปอ่านในบทความสรุปหนังสือ The Power of Habit
พลังแห่งความรัก
ฮาฟิดไม่อยากเป็นแค่เด็กเลี้ยงอูฐผู้ต่ำต้อย เขาบอกกับพาทรอสว่าเขาอยากมีฐานะเท่าเทียมหญิงสาวที่เขาหลงรักและอยากจะดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาอยากยกระดับฐานะของตัวเองให้ดีขึ้นก็เพราะเขารู้จัก “ความรัก”
ก่อนลูกค้าจะตัดสินใจซื้อของจากคุณ สิ่งหนึ่งที่ลูกค้าใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจก็คือ “ความไว้ใจ” ซึ่ง “ความไว้ใจ” นี้สร้างขึ้นได้ด้วย “ความรัก”
ถ้าคุณต้องพูดคุยกับคนที่เป็นศัตรูหรือคนที่ไม่ชอบใจกัน แล้วคุณเลือกพูดกับเขาด้วยความรักไม่ใช่ความเกลียดชัง นานวันเข้าคุณอาจเปลี่ยนพวกเขาจากศัตรูให้กลายเป็นเพื่อน จากเพื่อนก็สามารถพัฒนาเป็นเพื่อนสนิทได้เช่นกัน
นอกจากนี้ความรักยังส่งผลต่อบุคลิกและท่าทางของคุณด้วย มันจะส่งผลต่อภาษากายและสีหน้าที่คุณแสดงออก คุณจะยอมเปิดกว้างเพื่อรับความคิดเห็น คุณจะยิ้มแย้มแจ่มใส ดวงตาจะเป็นประกาย และน้ำเสียงก็จะเป็นมิตรแถมยังน่าฟัง ทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณดึงดูดใจผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
คุณเห็นด้วยกับผมหรือยังครับว่า “ความรัก” มันเต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่จริงๆ
รู้จักควบคุมอารมณ์และหัดหัวเราะให้กับปัญหา
ในหนังสือ The Greatest Salesman in the World อาจสอนให้คุณ “จงเป็นทาสของนิสัยที่ดี” แต่คุณห้ามตกเป็นทาสของอารมณ์เด็ดขาด!
เมื่อใดก็ตามที่คุณปล่อยให้ตัวเองตกเป็นทาสของอารมณ์ คุณอาจเผลอทำเรื่องแย่ๆ มองโลกในแง่ร้าย และพูดจาไม่ดีใส่ลูกค้า ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่สุดยอดนักขายเขาทำกันเลยแม้แต่น้อย
แมนดิโนบอกว่าชีวิตคนเรามีขึ้นและลงเสมอ ยามใดที่คุณหดหู่หรือซึมเศร้าก็ให้ปรับอารมณ์ตัวเองขึ้นมา คุณอาจร้องเพลง เล่นกีฬา หรือทำอะไรก็ได้เพื่อช่วยให้คุณมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
แต่ยามใดที่คุณทะนงตนหรือหลงระเริงเกินไป คุณควรนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่คุณล้มเหลวแล้วทำตัวให้ติดดินอีกครั้ง
เมื่อคุณเข้าใจว่าอารมณ์มีผลต่อชีวิต คุณจะเริ่มเข้าใจและยอมรับการกระทำของคนอื่นมากขึ้น เช่น ถ้าคุณต้องรับมือกับลูกค้าที่อารมณ์เสีย คุณจะเข้าใจเขามากขึ้นว่าลูกค้าอาจเจอเรื่องแย่ๆ จนควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดี แทนที่คุณจะโกรธและหงุดหงิด คุณอาจปรับวิธีพูดคุยกับเขาหรือลองพูดคุยกับเขาในวันอื่นๆ แทนเมื่ออารมณ์ของเขาดีขึ้นแล้ว
อีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรับมือกับอารมณ์ก็คือ “การหัวเราะ”
สมมติว่าอีก 3 วันจะถึงกำหนดส่งมอบสินค้า แต่ผู้ผลิตกลับทำงานให้คุณไม่ทัน คุณจะเลือกรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร?
- ปล่อยให้ความเครียดครอบงำ จนคิดหาวิธีแก้ปัญหาดีๆ ไม่ได้เสียที
- หัวเราะไปกับปัญหานี้ เพราะนี่คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดหรอก แล้วคิดหาทางแก้ปัญหาให้ได้ดีที่สุด
ผมเชื่อว่าคุณคงได้คำตอบในใจแล้วใช่มั้ยล่ะครับ
รู้จักรับมือกับความล้มเหลว
หนทางที่ง่ายที่สุดในการรับมือกับความล้มเหลวก็คือ “การยอมแพ้” แต่ถ้าคุณอยากจะพลิกเกมกลับมาเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ คุณต้องรู้จักวิธีรับมือกับความล้มเหลว
ขั้นแรกคือ หมั่นบอกกับตัวเองเสมอว่า “ฉันจะต้องทำต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ”
ลองนึกภาพตัวคุณเป็นพนักงานขายอะไหล่รถยนต์ ตลอดทั้งวันคุณเดินเข้าร้านมุมนั้นที ซอยนั้นทีไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีร้านไหนตอบรับสินค้าของคุณสักที แทนที่จะยอมแพ้ คุณควรเลือกหยุดพักและหาวิธีใหม่ๆ เพื่อเข้าไปเจรจากับร้านต่อไป เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าการขายครั้งต่อไปจะสำเร็จหรือไม่ ถ้าคุณยังไม่ลอง
แมนดิโนไม่ได้จะบอกว่าแค่คุณขยันหมั่นเพียรก็คงประสบความสำเร็จได้ ความขยันหมั่นเพียรเป็นเพียงกุญแจสำคัญดอกหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าคุณอยากเป็นสุดยอดนักขาย คุณต้องสร้างความโดดเด่นจนแตกต่างจากคู่แข่งด้วย คุณต้องค้นหาวิธีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณขึ้นมาให้ได้
เช่น ถ้าพนักงานขายอะไหล่รถยนต์คนอื่นใช้ส่วนลดเพื่อจูงใจลูกค้า คุณอาจลองเปลี่ยนไปใช้คุณภาพของสินค้าหรือระยะเวลารับประกันสินค้าที่นานกว่าเพื่อต่อรองกับลูกค้า
แม้ว่าเมื่อวานคุณจะผ่านเรื่องแย่ๆ มากมาย คุณก็แค่ต้องกลับบ้านไปเข้านอนและตื่นขึ้นมาในวันใหม่ด้วยทัศนคติที่เป็นบวก แล้วคุณจะพร้อมรับมือกับเรื่องต่างๆ อีกครั้ง
จงลงมือทำ
แมนดิโนเขียนหนังสือเล่มนี้ในรูปแบบของคัมภีร์ 10 ม้วนที่เป็นเหมือนบันได 10 ขั้นสู่การเป็นสุดยอดนักขาย และหนึ่งในหัวข้อที่เขาเน้นย้ำมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ “การลงมือทำ”
แมนดิโนเขียนย้ำๆ ให้คุณต้องลงมือทำ ลงมือทำ และลงมือทำ ราวกับจะสะกดจิต แต่ผมคิดว่าทุกความสำเร็จก็เกิดขึ้นจากความเรียบง่ายที่เรียกว่า “ลงมือทำ” แบบนี้แหละครับ
สรุปสุดท้ายก่อนวางหนังสือ The Greatest Salesman in the World
แมนดิโนมีวิธีเฉพาะสำหรับอ่านหนังสือด้วยครับ ซึ่งถ้าคุณทำตามที่แมนดิโนแนะนำ คุณจะใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้นานถึง 10 เดือน! มันฟังดูนานจนคุณอาจจะสร้างนิสัยที่ดีขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จเลยทีเดียว
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนหนังสือที่ช่วยปรับทัศนคติพื้นฐานของคุณให้พร้อมสำหรับการทำงาน ซึ่งผมเชื่อว่าเมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว แม้คุณจะไม่ได้เป็นสุดยอดนักขายในทันที แต่คุณจะคนที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้านของชีวิตแน่นอน
หนังสือที่อาจจะน่าสนใจกว่า The Greatest Salesman in the World
- สำนักพิมพ์บิงโกยังมีหนังสือดีๆ อีกเล่มเกี่ยวกับการเงินและมีลีลาการเล่าเรื่องที่น่าสนใจคล้ายกับเล่มนี้ที่อยากจะแนะนำให้คุณได้ลองอ่านกัน นั่นก็คือ The Richest Man in Babylon
- ถ้าคุณคิดว่าการเริ่มต้นสร้างตัวเองจากศูนย์เป็นเรื่องยาก สำนักพิมพ์บิงโกอยากแนะนำหนังสือดีๆ เรื่อง ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด ครับ ในเล่มนี้คุณจะพบกับเรื่องราวของคนที่อาจจะเริ่มต้นจากติดลบด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็หาทางจนประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
- ถ้าคุณสนใจอยากทำธุรกิจ แต่ยังขาดวิธีคิดดีๆ เพื่อนำทาง สำนักพิมพ์บิงโกขอแนะนำหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มีหัวธุรกิจใน 3 ชั่วโมง ที่จะช่วยปูพื้นฐานทางธุรกิจให้คุณ
- คุณสามารถอ่านเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการเงินที่อาจหาจากโค้ชเก่งๆ คนไหนไม่ได้อีกแล้ว จากบทสรุปหนังสือเรื่อง I Will Teach You To Be Rich ที่สำนักพิมพ์บิงโกสรุปมาไว้สำหรับคุณ
Pingback: สรุปหนังสือ Permission Marketing ขายออนไลน์แล้วทำไมยังเจ๊ง - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ Purple Cow อยากสำเร็จต้องเป็นวัวสีม่วง - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ Tribes เป็นหัวหน้าเผ่าในโลกสมัยใหม่ - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ Who moved my cheese บทเรียนจากหนังสือเก่าที่ไม่เก่า
Pingback: AI คืออะไร ทำไมมันจะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้า