กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ กรุงบาบิโลน มีเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในดินแดนแห่งนี้ชื่อว่า อาร์กาด วันหนึ่งเขาได้เจอกับเพื่อนในวัยเด็ก 2 คน เพื่อนๆ จึงถามกับอาร์กาดว่า
“อาร์กาด ทำไมเจ้าถึงร่ำรวยแบบนี้ พวกข้าทำงานหามรุ่งหามค่ำยังเลี้ยงดูครอบครัวแทบไม่ไหวเลย”
อาร์กาดยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบเพื่อนของเขากลับไปว่า
“เคยมีเศรษฐีท่านหนึ่งบอกความลับสู่ความมั่งคั่งให้กับข้า พวกเจ้าอยากรู้ความลับนี้หรือไม่?”
แล้วคุณล่ะครับ อยากรู้ความลับความมั่งคั่งของอาร์กาดหรือเปล่า?
แต่นอกจากความลับของอาร์กาดแล้ว ผมยังมีความลับสู่ความมั่งคั่งจากหนังสืออีกเล่มมาฝากทุกคน หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า The Richest Man In Babylon ผลงานของจอร์จ คลาสัน เป็นหนังสือที่ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1926 แม้จะผ่านไปเกือบร้อยปีแต่หนังสือเล่มนี้ยังถูกพิมพ์ซ้ำอยู่เสมอ นั่นหมายความว่า แนวคิดเรื่องการเงินและปรัชญาความสำเร็จในหนังสือเป็นเรื่องที่ถูกยอมรับและได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริงๆ
ความลับสู่ความมั่งคั่งในหนังสือเล่มนี้จะเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้คุณฟัง
ทำไมคนบางคนถึงร่ำรวยกว่าคนอื่น?
คุณยังไม่ต้องรีบตอบคำถามนี้ เพราะผมมีคำตอบ 2 ข้อมาให้คุณได้เลือกกัน
คำตอบที่ 1 เพราะพวกเขาประหยัดและเก็บทุกบาททุกสตางค์ซุกไว้ในกระปุกออมสิน
คำตอบที่ 2 เพราะบางคนใช้เงินทั้งหมดไปกับเครื่องประดับนานาชนิด
แน่นอนว่าคุณต้องเลือกคำตอบแรก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องถูกต้องเสียทีเดียว ความลับสู่ความมั่งคั่งจะอยู่ระหว่างคำตอบทั้ง 2 ข้อนี้ คือ นอกจากคุณจะต้องประหยัดและสะสมเงินให้มากแล้ว คุณต้องใช้เงินอย่างชาญฉลาดด้วย
ประหยัดอดออมและนำเงินไปลงทุน
สิ่งแรกที่คุณต้องทำเพื่อก้าวไปสู่ความมั่งคั่งก็คือ อดออม
อดออมในที่นี้หมายความว่า ห้ามใช้จ่ายเงินทุกบาทที่คุณได้รับ คุณอาจแบ่งรายรับของคุณออกมา 10% เก็บไว้ก็ได้ นอกจากนี้คุณยังต้องฝืนใจตัวเองให้ลดความอยากและความหรูหราในชีวิตลงไปบ้าง แม้คุณจะไม่ได้สวมเครื่องประดับเพชรหรือนาฬิการิชาร์ด มิลล์ คุณก็สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
เมื่อคุณเริ่มอดออมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ คุณต้องแสวงหาโอกาสในการลงทุนด้วย เนื่องจากเงินในกระปุกออมสินไม่สามารถเพิ่มมูลค่าด้วยตัวมันเอง ถึงคุณจะเอาไปฝากกับธนาคาร ดอกเบี้ยที่ได้นั้นไม่พอที่จะทำให้ท้องคุณอิ่มอยู่ดี
คุณต้องนำเงินไปลงทุนในสิ่งที่จะเพิ่มความมั่งคั่ง เช่น หุ้น พันธบัตรรัฐบาล หรือสตาร์ทอัพ ถ้าคุณทำอย่างถูกวิธี เงินเก็บของคุณจะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องพยายามอะไรให้มากเลย เหมือนที่ผมอธิบายไปแล้วว่า คนลงทุน vs ไม่ลงทุน ชีวิตต่างกันมาก
คำแนะนำอีกเรื่องคือ เมื่อใดก็ตามที่คุณนำเงินไปลงทุน คุณต้องแน่ใจว่า คุณมอบเงินให้คนที่คุณวางใจและเขารู้วิธีใช้เท่านั้น คุณไม่ควรลงทุนกับช่างตัดไม้เพียงเพราะเขาบอกว่า จะนำเงินไปเปิดธุรกิจซื้อขายเพชร ในทางกลับกันคุณควรให้เงินกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่รู้สภาวะตลาดดีกว่าคุณ ให้เขาลงทุนแทนคุณ
ผมมีบทความดีๆ ที่จะสอนวิธีเริ่มลงทุน 4 ขั้นตอนให้คุณ นอกจากนี้ ถ้าคุณอยากลงทุนหุ้น คุณควรศึกษากลยุทธ์ต่างๆ ให้ดี ผมได้สรุปกลยุทธ์ลงทุนหุ้นที่นิยมที่สุด 4 สไตล์ไว้ โดยวิธีที่ผมแนะนำคือการลงทุนแนวเน้นคุณค่าหรือ VI
ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มหาหุ้นตัวแรกของคุณกันเลย หรือถ้าคุณอยากหาหนังสือหุ้นมาอ่านเพิ่มเติม ผมได้ลิสต์หนังสือดีๆ ไว้ให้คุณอ่านเรียบร้อยแล้ว
คุณคิดว่า ตัวเองเป็นคนฉลาดเรื่องการเงินหรือเปล่า?
ปัญญาที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อคุณทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วอยู่เสมอ นักปรัชญาโบราณอย่างโซเครตีสเคยกล่าวว่า “การยอมรับว่า ตัวเองยังโง่เขลาเป็นสิ่งที่ชาญฉลาด”
เวลาคุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่าหลอกตัวองว่ารู้มากพอแล้ว แต่จงเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ เรื่องการเงินก็เช่นเดียวกันความลับในการประสบความสำเร็จทางการเงินคือ คุณต้องยอมรับว่ามีอีกหลายเรื่องที่คุณก็ยังไม่รู้
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่คิดไม่ถึงว่า ตนเองรู้น้อยเพียงใดโดยเฉพาะเรื่องการเงิน งานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่า คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีใช้สูตรคำนวณทางการเงินพื้นฐาน เช่น การคำนวณดอกเบี้ยทบต้น สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ คนเหล่านี้มั่นใจในความรู้ตัวเองมากๆ และไม่คิดจะแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเลย
หลายคนเพิ่งเรียนรู้วิชาพื้นฐานการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงจบ และคิดว่าตัวเองรู้มากพอที่จะฉกฉวยความมั่งคั่งได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็เจ๊งกันระนาวในปี 2008 เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องความยั่งยืนและความเสี่ยงของสินทรัพย์อย่างถ้องแท้ พวกเขาหยุดหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม (บิงโกได้เจาะลึกทรัพย์สินลงทุนทุกชนิดไว้ให้คุณแล้ว รวมทั้งบิทคอยน์ด้วย)
ถ้าคุณศึกษาด้านประวัติการลงทุน คุณจะได้บทเรียนจากความผิดพลาดของผู้อื่น คุณอาจจะเห็นโอกาสการลงทุนหรือช่องทางทำธุรกิจที่ทำกำไรงามก่อนใครเพื่อนก็ได้ บิงโกยังมีบทเรียน MBA ด้านการเงินใน 15 นาทีให้คุณอีกด้วย
คุณสะสมความมั่งคั่งได้ผ่านการทดลองและความล้มเหลว
หลายคนฝันที่เป็นคนรวยชั่วข้ามคืน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณไม่ได้ถูกลอตเตอรีรางวัลใหญ่ การสะสมความมั่งคั่งต้องใช้เวลา คุณต้องค่อยๆ ทำตามขั้นตอนทีละเล็กทีละน้อย บางทีอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปี
ทำไมการได้มาซึ่งความมั่งคั่งจึงใช้เวลานานขนาดนี้?
เพราะโลกการเงินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คุณจึงไม่สามารถเลือกใช้กลยุทธ์เดียวแล้วจะสำเร็จ การเลือกลงทุนในหุ้น 2-3 ตัวและนั่งฟังเพลงเพื่อรอเงินเข้าบัญชีนั้นไม่ทำให้คุณไปถึงฝั่งฝันหรอกครับ โลกการเงินไม่ได้หมุนแบบนั้น
ชีวิตของคนเราเป็นสิ่งไม่แน่นอน เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เช่น ตลาดหุ้นพัง ผลประกอบการบริษัทที่คุณถือหุ้นอยู่ย่ำแย่ ค่าเงินเปลี่ยน เป็นต้น
ดังนั้นคุณต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ และเรียนรู้กลยุทธ์การสร้างความมั่งคั่งแบบใหม่ๆ ผ่านการทดลองและความล้มเหลว เมื่อเวลาผ่านไปบทเรียนต่างๆ จะช่วยให้คุณลงทุนได้ฉลาดขึ้น มันก็เหมือนกับห้องเรียนวิทยาศาสตร์นั่นแหละครับ การทดลองที่ล้มเหลวจะสร้างความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ ถ้าคุณลงทุนผิดพลาด คุณก็ยังคงได้รับบทเรียนเพื่อลงทุนได้สำเร็จในภายหลังเช่นกัน
คำเตือนเดียวที่ผมอยากฝากไว้คือ อย่าลงเงินที่คุณไม่มี (กู้เงินไปลงทุน) ในที่ที่คุณไม่มีความรู้
อย่านำเงินไปซื้อสิ่งที่ต้องการในวันนี้ จงนำเงินไปลงทุนในที่ที่เงินทำงานให้คุณ
รู้ไหมครับว่า การสร้างรายได้ กับ การสร้างความมั่งคั่ง แตกต่างกันอย่างไร? เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้น ผมอยากให้คุณลองจินตนาการว่า คุณทำงานเป็นผู้จัดการโรงงานที่มีผลประกอบการดี ทุกเดือนคุณจะได้เงินเดือนที่คุ้มกับความเหนื่อยที่ทำงานไป
เรื่องข้างต้นหมายความว่า คุณทำได้แค่สร้างรายได้ แต่คุณยังไม่ได้สร้างความมั่งคั่งเลย
ถ้าคุณอยากสร้างความมั่งคั่ง คุณต้องออมเงินบางส่วนจากรายได้และนำเงินส่วนนั้นไปลงทุน ถ้าคุณลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ คุณจะได้รับความมั่งคั่งจากการทำงานของเงินในรูปแบบของค่าเช่า และถ้าคุณลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI ราคาหุ้นจะขึ้นไปเรื่อยๆ และคุณยังได้รับเงินปันผลอีกด้วย (ลงทุนหุ้น vs อสังหา อะไรดีกว่ากัน?)
การสร้างรายได้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อบรรลุเป้าหมายการเงินระยะสั้น คนส่วนใหญ่จึงมักสนใจแค่สิ่งของที่ต้องการซื้อด้วยเงินที่จะได้รับตอนสิ้นเดือน โดยไม่คำนึงถึงอนาคตระยะยาว การคิดแบบนี้อันตรายมากๆ เพราะถ้าเงินเดือนที่คุณคาดหวังไม่มาถึงมือคุณล่ะ คุณจะทำอย่างไร? คุณลองลงทุนแนว VI ฉบับมนุษย์เงินเดือนดีไหม
ในทางกลับกัน การสร้างมั่งคั่งเป็นเรื่องของเป้าหมายระยะยาว
อสังหาริมทรัพย์ที่คุณซื้อจะไม่นำความมั่งคั่งมาให้ในทันที คุณต้องจ่ายเงินต้นจำนวนหนึ่งให้ผู้ขายในตอนแรกเพื่อแลกกับสิทธิ์การเป็นเจ้าของ จากนั้นคุณต้องรอให้มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง การลงทุนจะเริ่มออกดอกออกผล มันจะมอบเงินให้คุณไม่หยุดตราบเท่าที่คุณเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น
ถ้าคุณวางแผนในระยะยาว มันจะช่วยรักษาสุขภาพการเงินของคุณให้แข็งแรง และป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การเจ็บป่วย การถูกไล่ออกกะทันหัน เป็นต้น
จงลงทุนในสิ่งที่ให้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยก้อนโต
ไม่ว่าคุณจะกู้ยืมเงินจากไหน เมื่อครบกำหนดคุณต้องจ่ายเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณให้คนอื่นกู้ยืมเงิน คุณจะได้ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน นี่คือหนึ่งในวิธีที่เพิ่มความมั่งคั่งให้คุณ
ผมอยากให้คุณเข้าใจว่า ทำไมดอกเบี้ยถึงสำคัญ ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจว่าเงินก็คือทรัพยากรเหมือนกับพนักงานหรือวัตถุดิบ
ลองนึกภาพ ถ้านายเอต้องการจะเปิดโรงงานทำบิงซู นายเอต้องการอะไรบ้าง?
นายเอต้องใช้วัตถุดิบ เครื่องจักรและคนงานเพื่อทำบิงซู แน่นอนว่า นายเอต้องจ่ายอะไรบางอย่างเพื่อแลกสิทธิ์การเป็นเจ้าของทรัพยากรการผลิตเหล่านี้ นายเอต้องมีทุนสำหรับเปิดโรงงาน ปัญหาคือนายเอจะเอาเงินมาจากไหน?
ถ้านายเอต้องการจูงใจให้พนักงานมาทำงานด้วย เขาก็ต้องมอบเงินเดือนที่สมเหตุสมผลกลับไป เหมือนกันกับถ้านายเออยากได้เงินทุน เขาก็ต้องมีสิ่งล่อใจผู้ปล่อยกู้หรือนักลงทุนเช่นกัน
หนึ่งในสิ่งล่อใจก็คือ ดอกเบี้ย นั่นเอง นักลงทุนจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะพวกเขาได้ดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยอีกต่อ (ดอกเบี้ยทบต้น) เช่น สมมติว่าคุณลงทุน 100,000 บาทในธุรกิจใหม่ด้วยข้อตกลงรับผลตอบแทน 10% เมื่อครบกำหนด คุณก็ได้รับเงินต้นคืนพร้อมกับดอกเบี้ย 10% รวมเป็น 110,000 บาท
จากนั้นคุณก็ตัดสินใจลงทุนเงินทั้งหมดจำนวน 110,000 บาทในธุรกิจอื่นด้วยข้อตกลงเดียวกัน เมื่อครบกำหนด คุณจะได้รับเงินต้น 110,000 บาทคืนพร้อมกับดอกเบี้ย 11,000 บาท รวมเป็น 121,000 บาท
เห็นไหมครับว่า รายได้จากดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครั้งแรกได้ดอกเบี้ย 10,000 บาท ครั้งต่อมาได้ 11,000 บาท นี่แหละที่เรียกว่า ได้ดอกเบี้ยบนดอกเบี้ย หรือ ดอกเบี้ยทบต้น
คุณสามารถลงทุนแบบนี้ได้เรื่อยๆ เงินพวกนี้ไม่เพียงแค่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น แต่มันยังมอบโบนัสมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
คุณจะพบแต่ความโชคดีได้อย่างไร?
หลายคนคิดว่า โชคคือความน่าจะเป็นเหมือนการสุ่มโยนเหรียญหรือทอยลูกเต๋า ความจริงมันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า?
สมมติว่าคุณลงแข่งเทนนิสรายการหนึ่ง คุณฝึกหนักมาหลายเดือนและเตรียมตัวมาอย่างดี พอถึงรอบชิงชนะเลิศ คุณตีลูกเทนนิสไปเช็ดตาข่ายกระดอนเปลี่ยนทิศจนของฝ่ายตรงข้ามหมดปัญญาตีตอบโต้ แต้มนี้ส่งให้คุณคว้าแชมป์รายการนี้สำเร็จ
เหตุการณ์นี้เป็นความโชคดี 100% เลยหรือไม่?
คำตอบก็คือ ไม่ใช่ เพราะคุณได้รับโชคดีจากการฝึกซ้อมตีลูกเทนนิสอย่างหนักก่อนลงแข่งมาแล้ว โชคไม่ได้เกิดขึ้นแบบบังเอิญ แต่มันเกิดขึ้นจากการทำงานหนัก คนที่ทำงานอย่างหนักจะคว้าโชคให้มาอยู่กับตัวเองได้
คุณจะทำอย่างไรให้ตัวเองโชคดีกว่าเดิม?
ก่อนที่ผมจะเฉลยคำตอบนี้ ผมมีเรื่องเล่าของชายคนหนึ่งมาให้คุณฟัง
ผู้ประกอบการหนุ่มคนหนึ่งสนใจเรื่องอวกาศมากๆ เขาหมดเวลาไปกับการอ่านหนังสือ ติดตามงานวิจัยเกี่ยวกับจรวดทุกวัน เฝ้าดูสถานการณ์ของเทคโนโลยีทั่วโลก และพาตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับนักวิจัยหลายต่อหลายคน
วันหนึ่งเขาพบว่า ต้นทุนการผลิตจรวดในปัจจุบันมีราคาสูง เพราะจรวดที่ผลิตขึ้นมานั้นใช้งานได้เพียงครั้งเดียว เขาจึงคิดว่า ถ้าเราสามารถผลิตจรวดที่สามารถใช้งานได้หลายรอบ มันจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งทางอวกาศได้มหาศาล
เมื่อโอกาสและความเป็นไปได้อยู่ตรงหน้า เขาจึงไม่รอช้า เขารีบติดต่อเพื่อนฝูง หาเงินทุน และเปิดโรงงานผลิตจรวดจนประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้องค์การ NASA ก็เป็นลูกค้าของเขา
ทำงานหนักเพื่อมองหาโอกาสและคว้ามันโดยไม่รอช้า
คุณจะเห็นว่าผู้ประกอบการหนุ่มที่ผมพูดถึงเขาสร้างโชคดีให้กับตัวเองได้ แต่ถ้าเขายอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความโชคร้ายก็เป็นได้
ถ้าเขามัวแต่ลังเลว่า “จะเดินหน้าผลิตจรวดดีไหม?” แล้วรอจนมีใครสักคนมาพิสูจน์ไอเดียของเขาให้เห็นเค้าโครงความเป็นไปได้มากขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นนักลงทุนจะหันไปลงทุนกับคนอื่นแทน และคนทั้งโลกคงไม่รู้จักคนที่ชื่อ อีลอน มัสก์
คุณไม่สามารถรอให้โอกาสมาจอดรอตรงหน้าบ้านได้ คุณต้องตื่นตัวและออกไปคว้ามัน ถ้าคุณอยากเพิ่มโอกาสในชีวิต คุณก็ต้องทำงานหนัก หมั่นศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่คุณสนใจ สร้างเครือข่าย และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ความพยายามของคุณจะออกดอกออกผลอย่างงดงามกว่าที่คิดเมื่อโอกาสทองมาถึง
โอกาสทองเป็นของหายาก คุณอาจต้องรอนานมาก เข็มนาฬิกาจะคอยบั่นทอนให้คุณท้อแท้ตลอดเวลา แต่คุณต้องผ่านไปให้ได้
ทำไมคนบางคนถึงเจอกับปัญหาการเงินตลอดชีวิต?
คนส่วนใหญ่มีปัญหาด้านการเงินเพราะพวกเขาตัดสินใจทางการเงินอย่างไร้เหตุผล แล้วคุณจะหลีกเลี่ยงในการเป็นหนึ่งในนั้นได้อย่างไร?
เมื่อคุณต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการจ่ายเงิน ให้คุณประเมินความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินของคุณอย่างมีเหตุผลด้วย เช่น ถ้าคุณมีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน คุณจึงตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่โดยทำสัญญากับธนาคารว่าคุณจะผ่อนจ่ายเดือนละ 10,000 บาท ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่
แต่สมมติว่า วันหนึ่งพ่อของคุณป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล คุณต้องจ่ายเงินค่ารักษาจนเหลือเงินไม่พอผ่อนรถ คุณจะเจอกับปัญหาทันที หลายคนแก้ปัญหานี้โดยไปกู้เงินจากนอกระบบบ้าง พอรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็จะติดอยู่ใต้ซากหนี้สินกองเท่าภูเขาแล้ว
ฉะนั้นก่อนจะสร้างหนี้ คุณควรจะคิดให้ถี่ถ้วนว่า สิ่งที่จะซื้อจำเป็นต่อชีวิตมากน้อยแค่ไหน ถ้าซื้อมาแล้ว มีเงินพอจ่ายหรือไม่ ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจะแก้ไขอย่างไร อย่าลืมว่า เมื่อก่อหนี้แล้ว เงินที่คุณหามาได้ต้องถูกนำไปชำระหนี้ก่อน คุณจะเสียโอกาสในการนำเงินไปลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่ง
มองอีกมุมหนึ่ง ถ้าคุณเป็นเจ้าหนี้ การที่ลูกหนี้ต้องจ่ายเงินให้คุณทุกเดือนอาจทำให้คุณเสียผลประโยชน์ก็ได้เช่นกัน เพราะลูกหนี้ไม่โอกาสสร้างตัวเลย อนาคตพอเกิดเหตุฉุกเฉิน ลูกหนี้หาเงินมาคืนไม่ได้ เขาเลยเบี้ยวหนี้กลายเป็นฝันร้ายที่สุดสำหรับเจ้าหนี้ทุกราย
ตัวอย่างเช่นในช่วงวิกฤตยูโรโซนเมื่อไม่นานมานี้ ประเทศกรีซเป็นหนี้ธนาคารกลางยุโรปจำนวนมาก กรีซจึงจำเป็นต้องชำระหนี้ดังกล่าว ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นๆ ในประเทศ เช่น โรงเรียน การคมนาคมขนส่ง เป็นต้น
โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ถ้าไม่มีการลงทุนเหล่านี้ กรีซจะไม่มีรายได้มากพอที่จะชำระหนี้ได้เต็มจำนวนและอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
เจ้าหนี้จะได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อลูกหนี้มีศักยภาพมากพอที่จะจ่ายดอกเบี้ย ดังนั้นถ้าคุณเป็นเจ้าหนี้ คุณควรลองเจรจากับลูกหนี้หรือคิดถึงเรื่องระงับชำระหนี้ชั่วคราวไว้บ้าง เพื่อช่วยให้ลูกหนี้ยืนได้อย่างมั่นคงก่อนแล้วค่อยเก็บดอกเบี้ยแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยทีหลัง
ทั้งหมดนี้คือ ความลับสู่ความมั่งคั่งจากหนังสือ The Richest Man In Babylon ส่วนความลับสู่ความมั่งคั่งของเศรษฐีนามว่า อาร์กาด ล่ะจะเป็นแบบไหน?
คำตอบของอาร์กาดก็คือ
“ความลับสู่ความมั่งคั่งที่ข้ารู้มาคือ จงอย่าใช้เงินทั้งหมดที่เจ้าได้รับ แต่ให้นำไปเงินนั้นลงทุนและต้องลงทุนอย่างชาญฉลาด”
เริ่มต้นลงทุนวันนี้
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มนี้ พ่อรวยสอนลูก Rich Dad, Poor Dad หรือ I Will Teach You to be Rich เขาก็จะบอกให้คุณลงทุน คุณจะทำธุรกิจหรือทำงานประจำ คุณก็สามารถลงทุนได้ เพราะคุณแค่บริหารเงินให้ถูกต้อง หรือ “วางเงินให้อยู่ถูกที่” แล้วรอให้มันงอกเงย แค่นี้ก็จะสร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้คุณในระยะยาวครับ เหมือนที่เขาบอกว่า การลงทุนเป็นหนทางสู่อิสรภาพทางการเงิน
ผมมีบทความดีๆ ที่จะสอนวิธีเริ่มลงทุน 4 ขั้นตอนให้คุณ นอกจากนี้ ถ้าคุณอยากลงทุนหุ้น คุณควรศึกษากลยุทธ์ต่างๆ ให้ดี ผมได้สรุปกลยุทธ์ลงทุนหุ้นที่นิยมที่สุด 4 สไตล์ไว้ โดยวิธีที่ผมแนะนำคือการลงทุนแนวเน้นคุณค่าหรือ VI
ลองดูหุ้น 6 ชนิดของปีเตอร์ ลินช์ ว่าคุณชอบหุ้นแนวไหน และถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มหาหุ้นตัวแรกของคุณกันเลย
หรือถ้าคุณอยากหาหนังสือหุ้นมาอ่านเพิ่มเติม ผมได้ลิสต์หนังสือดีๆ ไว้ให้คุณอ่านเรียบร้อยแล้ว
เรียนคอร์สลงทุนจาก Set หนังสือ “นักลงทุนมือหนึ่งของโลก”
บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูง มือใหม่เรียนจบก็พร้อมลงทุนจริงได้เลย
คอร์สนี้ถูกออกแบบให้พิเศษกว่าคอร์สลงทุนทั่วไป เพราะมาจากหนังสือลงทุนของเซียนหุ้นระดับโลก ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, เบนจามิน เกรแฮม, ดร.นิเวศน์ และอื่นๆ จนเหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” ทุกเล่มที่เราคัดมาคือหนังสือลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “ของจริง” และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว
คอร์สนี้จะให้คุณมากกว่าความรู้ในหนังสือแต่ละเล่มรวมกัน เพราะเวลาคุณอ่านหนังสือเอง บางครั้งคุณอาจมองข้ามแก่นสำคัญ หรือไม่เข้าใจความคิดของคนเขียนอย่างแท้จริง แต่ผมจะนำจุดสำคัญทุกจุดมาอธิบายให้คุณอย่างครบถ้วน พร้อมยกตัวอย่างที่ใกล้ตัว เข้าใจง่าย คุณจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับแนวคิดการลงทุนที่ถูกต้องโดยสมบูรณ์ คุณจะได้รับ…
- วิดีโอที่อธิบายแนวคิดในหนังสือลงทุนระดับโลกอย่างละเอียด ดูซ้ำได้ตลอดชีพ พร้อม Mind Map สรุปหนังสือทุกเล่มให้คุณทบทวนทีหลังได้ง่าย
- เนื้อหาแยกเป็นพื้นฐาน กลาง สูง ให้เลือกเรียนได้ตามระดับความชำนาญ
- ความรู้ที่ครบถ้วนในการลงทุนทุกด้าน ทั้งกลยุทธ์ แนวคิด การวิเคราะห์มูลค่า การอ่านงบการเงิน จิตวิทยาการลงทุน ไปจนถึงเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคัดมาเน้นๆ อธิบายให้เข้าใจง่าย เพื่อให้คุณเรียนรู้โดยใช้เวลาเสี้ยวเดียวของการอ่านหนังสือหรือศึกษาเอง
หนังสืออื่นที่น่าสนใจไม่แพ้ The Richest Man in Babylon
หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นในการสร้างความร่ำรวย … นั่นคือการออมเงิน แต่การออมเงินอย่างเดียวนั้นไม่ทำให้ใครรวยครับ คุณจะต้องรู้วิธีลงทุนและทำธุรกิจด้วย ซึ่งบิงโกมีบทความและหนังสือดีๆ มาแนะนำดังนี้
- สุดยอดหนังสือการเงินระดับโลก “พ่อรวยสอนลูก” ที่จะนำคุณไปสู่โลกของการลงทุน คุณจะต้องรู้จัก “ใช้เงินทำงาน” โดยรู้ว่าจะลงทุนอย่างไรให้ผลตอบแทนสูงสุด (คนที่เก่งแล้วก็จะลงทุนโดยใช้เงินของคนอื่นด้วย! ซึ่งทำให้รวยเร็วขึ้นอีก)
- หนังสือ The Intelligent Investor คือหนังสือสอนหลักลงทุนในหุ้นที่ว่ากันว่า “ดีท่ีสุด” และนักลงทุนทุกคนควรอ่าน รับประกันโดยวอร์เรน บัฟเฟต เศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ของโลก
- สมัยกรุงบาบิโลน คนที่รวยได้อาจมาจาการลงทุน แต่ในยุคอินเทอร์เน็ต ทิม เฟอร์ริส ลาออกจากงานมาทำธุรกิจออนไลน์เพียง 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีรายได้หลายร้อยล้านบาทต่อปี โดยเขาได้มาสอนวิธีที่คนธรรมดาอย่างเราก็ทำธุรกิจแบบเขาได้ ในหนังสือขายดีระดับโลก The 4-Hour Workweek
- ถ้าคุณอยากเสริมความรู้พื้นฐานในการทำธุรกิจให้แน่นขึ้น สนพ.บิงโกขอแนะนำหนังสือแปลจากญี่ปุ่น เปลี่ยนคนธรรมดาให้มีหัวธุรกิจใน 3 ชั่วโมง ซึ่งผู้เขียนเป็นที่ปรึกษาให้กับบรรดาบริษัทชั้นนำต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น
- ถ้าคุณอยากรู้ว่าบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ในโลกเติบโตระดับ 100 เท่ากันภายใน 5 ปีได้อย่างไร คุณสามารถอุดหนุนหนังสือ “ขโมยวิธีคิดสุดเจ๋ง จากสุดยอดโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพ” ของบิงโกได้เลย ข้างในเป็นเนื้อหาของโรงเรียนสอนธุรกิจที่โด่งดังที่สุดในโลก ซึ่งสร้างบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Airbnb และ Dropbox ตั้งแต่เจ้าของยังอดมื้อกินมื้อ จนเป็นมหาเศรษฐียักษ์ใหญ่ของโลก
- ในโลกสมัยใหม่ คนธรรมดายิ่งมีโอกาสธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนใช้เวลาสร้างตัวเพียง 3 ปีก็สามารถเกษียณไปใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองชอบได้ โดยหนังสือ ถ้าบอกกันก่อนเรียนจบ คงไม่ตกขบวนเศรษฐี เป็นเหมือน “พ่อรวยสอนลูก” เวอร์ชั่นที่ลึกซึ้งกว่ามากครับ ข้างในมีทั้งหลักการหาเงินและแนวทางทำธุรกิจแบบขั้นต่อขั้น
Pingback: สรุปหนังสือ The 4-Hour Workweek ทำน้อยแต่รวยมาก เลิกรวยตอนแก่
Pingback: สรุปหนังสือ Getting to Yes ทำยังไงให้เขาตอบ YES! - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุป The Intelligent Investor: หนังสือลงทุนที่ดีที่สุดในโลก (นักลงทุนต้องอ่าน)
Pingback: สรุปหนังสือ Emotional Intelligence: รู้แค่นี้ก็ประสบความสำเร็จกว่าคน IQ 180
Pingback: กฎ 10 ข้อของ Sam Walton เจ้าของวอลมาร์ท ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: สรุปหนังสือ The Greatest Salesman in the World คัมภีร์สร้างนิสัยเปลี่ยนคุณเป็นสุดยอดนักขาย
Pingback: สรุปหนังสือ I will teach you to be rich หนังสือที่จะทำให้โค้ชการเงินตกงาน