“หนังสือลงทุน” แนะนำ 10 เล่มที่คุณควรอ่านก่อนลงทุนหุ้น ปี 2021 [คัดมาเน้นๆ จุใจ]

สำหรับการลงทุน ความรู้คือพลังครับ โดยเฉพาะหุ้นซึ่งเป็นการลงทุนที่เสี่ยงสูง การหา “หนังสือลงทุน” ที่ดีมาอ่าน จึงเป็นก้าวแรกของการเป็นนักลงทุนที่ดี

ความรู้ที่ครอบคลุมที่สุดในการลงทุนมักอยู่ในหนังสือ เพราะหนังสือเป็นช่องทางที่เราจะเข้าถึงแนวคิดในการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำของโลกได้ง่ายที่สุด ไม่มีนักลงทุนระดับโลกคนไหนจะมาอธิบายเทคนิคของตัวเองอย่างละเอียดในยูทูป แต่ถ้าเขาอยากถ่ายทอดจริงๆ เขามักเขียนเป็นหนังสือไปเลย

ที่จริงนักลงทุนไทยเก่งๆ ก็เรียนรู้แนวคิดของนักลงทุนชั้นนำในโลกจากหนังสือนี่แหละครับ ผมกล้าบอกเลยว่านักลงทุนไทยทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนอ่านหนังสือมาเยอะมาก

มือใหม่ที่หัดเริ่มต้นลงทุน ผมแนะนำให้อ่าน 4 ขั้นตอนลงทุนสำหรับมือใหม่ ก่อน และวันนี้ผมขอแนะนำหนังสือดีๆ ที่นักลงทุนควรอ่านก่อนลงทุนในหุ้นครับ

 

1. หนังสือหุ้น One Up On Wall Street เหนือกว่าวอลสตรีท

หนังสือหุ้น 1
หนังสือ One Up On Wall Street เหนือกว่าวอลสตรีท

ผู้เขียน Peter Lynch (ปีเตอร์ ลินช์)

ผู้แปล ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตามความคิดเห็นของผม นี่คือหนังสือลงทุนหุ้นที่ดีที่สุดในโลก ใช้ภาษาง่าย มีอารมณ์ขัน อ่านง่าย และเนื้อหาตรงประเด็น ในเล่มจะสอนให้คุณสังเกตสิ่งใกล้ตัวแล้วนำมาใช้ลงทุน เขาจะสอนให้คุณแบ่งหุ้นเป็น 6 ชนิดเพื่อให้คุณวิเคราะห์ได้ง่าย ตัวอย่างแน่นมากครับ

ข้อดี

  • อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เป็นแนวทางที่คนทั่วไปใช้จริงได้ ไม่ต้องมีเครื่องมือพิเศษเหมือนกองทุนเฮดจ์ฟันด์ก็ลงทุนตามได้
  • อัดแน่นด้วยประสบการณ์ตรงของการลงทุนหุ้นที่หลากหลาย รวมทั้งวิธีคิดเบื้องหลังของการลงทุนที่บางทีก็ผิดพลาด บางทีก็สำเร็จ เราจึงได้ตัวอย่างการลงทุนครบทุกรสชาติ มันส์ทุกเม็ด
  • มีการชี้ถึงความเข้าใจผิดของคนส่วนใหญ่ในการลงทุน ซึ่งสำคัญมากในการลงทุนในตลาดหุ้น ถ้าเรียนรู้เองคงใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี แต่ปีเตอร์ ลินช์ บอกเราหมดเลย

ข้อเสีย

  • ตัวอย่างในเล่มเป็นหุ้นต่างประเทศทั้งหมด คนไทยอ่านแล้วอาจไม่เข้าใจบริบทที่ซ่อนอยู่ของหุ้นเหล่านั้น
  • หนังสือไม่เป็นระเบียบ เขาจะยกตัวอย่างหลายๆ แบบให้คุณ ระหว่างอ่านคุณจะเพลินและตื่นเต้นไปกับเรื่องเล่าของปีเตอร์ ลินช์ คุณจะรู้สึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง แต่เมื่ออ่านจบแล้วจะต้องใช้เวลาตกผลึกพอสมควรว่า “เราเรียนรู้อะไรจากหนังสือเล่มนี้บ้าง” ไม่เช่นนั้นคุณจะได้แต่อ่านเรื่องเล่าสนุกๆ แต่ไม่ได้บทเรียนไปใช้ลงทุนจริง

 

2. หนังสือหุ้น ตีแตก: กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต

หนังสือหุ้น 2
หนังสือตีแตก

ผู้เขียน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เล่มนี้เป็นเล่มที่ผมคิดว่าเขียนดีไม่แพ้หนังสือต่างชาติเลย เสียแต่ว่าตัวอักษรใหญ่ไปหน่อยเนื้อหาเลยน้อย ถ้าคุณได้อ่านเล่มนี้ คุณจะเข้าใจภาพรวมของกลยุทธ์การลงทุนหลากหลายประเภท และเอาไปสร้างเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวคุณได้ นอกจากนี้คุณยังจะเข้าใจหลักการลงทุนสำคัญจากเล่มนี้ด้วย

ข้อดี

  • ตัวอย่างเป็นหุ้นไทย เหมาะสมกับบริบทของคนไทยและตลาดหุ้นไทย
  • วิเคราะห์มาให้เราแล้วว่าการลงทุนทั้งหมดมีแนวไหนบ้าง เราอ่านแล้วจะเห็นภาพกว้างว่าเราอยากเลือกลงทุนแนวไหน

ข้อเสีย

  • หนังสือบาง เนื้อหาน้อย ตัวอย่างน้อย
  • ลำเอียงพูดชมการลงทุนแนว VI เป็นหลัก เราจึงไม่ได้เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการลงทุนทุกแนวเท่าที่ควร

 

3. หนังสือหุ้น Learn to Earn เรียนหุ้นกับปีเตอร์ ลินช์

หนังสือหุ้น 3
หนังสือ Learn to Earn เรียนหุ้นกับปีเตอร์ ลินช์

ผู้เขียน Peter Lynch (ปีเตอร์ ลินช์) และ John Rothschild (จอห์น รอธชายด์)

ผู้แปล พิริยะ พาณิชย์ชะวงศ์

เนื้อหาจะคล้ายเล่ม One Up On Wall Street แต่เล่มนี้เนื้อหาจะง่ายกว่า เขาจะปูพื้นฐานตั้งแต่การออมเงิน การเข้าใจเศรษฐกิจและโลกการลงทุน ทรัพย์สินชนิดต่างๆ และหุ้น ข้างในยังรักษามุกตลกตามฉบับปีเตอร์ ลินช์ ไว้ด้วยครับ

ข้อดี

  • ปูพื้นฐานสุดๆ ด้านการลงทุนให้เรา ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการลงทุนมาก่อนก็อ่านได้
  • มีการพูดถึงระบบทุนนิยมและประวัติศาสตร์ทุนนิยม ซึ่งให้ความรู้ใหม่แก่เรา และให้ข้อคิดดีๆ ในการมองภาพกว้างของการลงทุน

ข้อเสีย

  • เนื้อหาค่อนข้างเหมาะกับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น คนที่มีพื้นฐานพอสมควรแล้วจะได้อ่านเรื่องเดิมหลายๆ เรื่องที่รู้อยู่แล้ว แต่เปลี่ยนมุมมองและตัวอย่างเท่านั้น

 

4. หนังสือหุ้นในตำนาน The Intelligent Investor

หนังสือหุ้น 4
หนังสือ The Intelligent Investor

ผู้เขียน Benjamin Graham (เบนจามิน เกรแฮม บิดาแห่งการลงทุนแนวเน้นคุณค่า)

ผู้แปล พรชัย รัตนนนทชัยสุข

บิงโกได้สรุปหนังสือ The Intelligent Investor ไว้แล้ว หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องเป็นคัมภีร์ของนักลงทุนแนว VI หรือลงทุนแนวเน้นคุณค่า  แต่ผมให้ที่ 4 เพราะอ่านยากกว่าสามเล่มบนเยอะ เล่มนี้จะเป็นแก่นจริงๆ ของการลงทุน มันจะเป็นตัวช่วยเตือนสติเวลาเราอยากลองลงทุนแบบแปลกๆ  ข้อเสียคือภาษาในเล่มจะอ่านยากพอสมควร แต่คุ้มค่าในการอ่านครับ

ข้อดี

  • เป็นต้นตำรับการลงทุนแนวเน้นคุณค่าแบบดั้งเดิม จึงเป็นมาตรฐานที่เราควรรู้ไว้เพื่อทำความเข้าใจแก่นการลงทุนแนวเน้นคุณค่าอย่างแท้จริง
  • มีระบบการลงทุนที่ชัดเจนมาก บอกกระทั่งตัวเลข % ในการจัดพอร์ตการลงทุน (แต่นั่นอาจเป็นข้อเสีย เพราะถึงแม้หลักการจะยังใช้ได้ในปัจจุบัน ตัวเลขที่เขาเขียนในหนังสืออาจใช้ไม่ได้แล้วก็ได้)

ข้อเสีย

  • ยากและหนา ผมคิดว่าคนเกินครึ่งที่พยายามอ่านเล่มนี้จะอ่านไม่จบ ไม่ใช่เพราะไม่อยากอ่าน แต่เพราะทำความเข้าใจยากมาก
  • เนื้อหาไม่เป็นระเบียบ หลายครั้งเหมือนพูดซ้ำ ต้องพลิกกลับไปกลับมาหลายรอบเพื่อทำความเข้าใจว่าเขาพูดซ้ำจริงๆ หรือเขาพูดเรื่องใหม่ที่คล้ายกันแต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว
  • ตกผลึกนาน ทำคามเข้าใจเสร็จแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจจริงๆ
  • มีการลงทุนบางชนิดที่มีในอเมริกาแต่ไม่มีในไทย อ่านแล้วก็ไปใช้จริงไม่ได้
  • หนังสือถูกเขียนขึ้นนานเกิน 70 ปีมาแล้ว แนวคิดหลายอย่างในหนังสือจึงใช้ไม่ได้กับตลาดหุ้นในปัจจุบัน กระทั่งวอร์เรน บัฟเฟตต์ ลูกศิษย์เอกของผู้เขียนก็เลิกใช้แนวคิดบางอย่างในหนังสือไปแล้ว

 

ความรู้ลงทุนชั้นยอดอยู่ในหนังสือ แต่จะอ่านยังไงให้ครบและเข้าใจทั้งหมด?

คอร์สลงทุน บิงโก นักลงทุนระดับโลก

ถ้าอยากได้ตัวช่วย บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ ที่สอนตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นสูง เรียนจบพร้อมลงทุนจริงได้เลย เหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” และช่วยย่นประสบการณ์ 10 ปีของผม ให้เหลือ 2 สัปดาห์ ให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว

 

ดูรายละเอียด

 

5. หนังสือหุ้น The New Buffettology ลงทุนอย่าง…วอร์เรน บัฟเฟตต์

หนังสือหุ้น 5
หนังสือ The New Buffettology ลงทุนอย่าง…วอร์เรน บัฟเฟตต์

ผู้เขียน Mary Buffett และ David Clark

คนเขียนเป็นลูกสะใภ้ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ตอนแรกผมนึกว่าเขาแค่เขียนหนังสือเพื่อหากินกับชื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่พอได้อ่านเล่มนี้แล้วก็บอกได้เลยว่า เป็นลูกสะใภ้ที่เด็ดจริงๆ เนื้อหาข้างในจะครบเครื่องครับ อ่านแล้วจะเข้าใจวิธีเลือกหุ้นของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หมดเปลือกเลย ว่าทำไมเขาถึงชอบธุรกิจที่เสถียรและมีความสามารถในการแข่งขัน เราจะเห็นจังหวะเข้าซื้อ วิธีประเมินมูลค่าหุ้น ฯลฯ

ข้อดี

  • เขียนดี เรียบเรียงเนื้อหาชัดเจน ตัวอย่างเข้าใจง่าย
  • มีแนวคิดหลายอย่างที่เป็นพื้นฐานที่ดีมากในการลงทุน แต่ไม่มีในหนังสือเล่มอื่น ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ คิดขึ้นเอง (ปัจจุบันคนที่ศึกษาแนวทางของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้พูดถึงหลักเหล่านี้มากขึ้น เราจึงพอได้ยินประปราย แต่ถึงยังไงอ่านจากต้นฉบับก็ดีที่สุดครับ)

ข้อเสีย

  • ตัวอย่างน้อยไปหน่อย บางเรื่องเป็นเรื่องสมมุติ อ่านแล้วไม่ตื่นเต้นเท่า One Up on Wall Street

 

6. หนังสือหุ้น Common Stocks and Uncommon Profits and Other Writings หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ

หนังสือหุ้น 6
หนังสือ Common Stocks and Uncommon Profits หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ

ผู้เขียน Philip Fisher

ผู้แปล ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

แนวทางการลงทุนของเล่มนี้ก็คือ ซื้อหุ้นโตเร็ว ในราคาที่เหมาะสม เนื้อหาดีครับ แต่เป็นสิ่งที่เสริมจากหลักการพื้นฐานมากกว่า ผมเลยให้แค่อันดับ 6 แต่สำหรับคนที่จริงจังเรื่องการลงทุน ก็แนะนำให้อ่านครับ เพื่อจะได้มีความรู้แน่น และควรอ่านเผื่อเรารู้อะไรตกหล่นไป

ข้อดี

  • เป็นแนวทางการลงทุน VI สมัยใหม่ที่นักลงทุน VI ดั้งเดิมหลายคนมองข้าม แต่วิธีคิดของ Philip Fisher นี้เองคือสิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยกย่องและนำมาใช้ผสานกับวิธีลงทุนดั้งเดิมของตน จนกลายเป็นวอร์เรน บัฟเฟตต์ อย่างทุกวันนี้
  • เป็นแนวทางการลงทุนที่บางครั้งก็ขัดกับความคิดของคนปกติ จึงช่วยให้เราเห็นมุมมองอีกด้าน เราจึงมีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น
  • มีระบบการลงทุนที่ชัดเจน อ่านแล้วเข้าใจทันทีว่าเขามีวิธีลงทุนยังไง เราจึงนำมาประยุกต์กับการลงทุนของเราได้ง่าย

ข้อเสีย

  • เนื้อหาไม่เยอะ และไม่ครอบคลุม พอคุณอ่านจบแล้วคุณจะรู้สึกว่าได้เรียนรู้เรื่องสำคัญ แต่เหมือนยัง “ขาดอะไรบางอย่างไป” ถ้าเราจะเข้าใจเล่มนี้อย่างสมบูรณ์จะต้องเอาประสบการณ์ของตัวเองใส่ไปด้วยพอสมควร
  • เขาพูดถึงการซื้อหุ้นโตเร็วในยุคสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคต้นๆ (พวกผลิตสินค้า ทำโรงงานอะไรพวกนี้) แต่หุ้นโตเร็วปัจจุบันมักขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ เนื้อหาในหนังสือจึงเป็นบริบทที่ล้าสมัย แต่คุณสามารถนำหลักการเดียวกันมาประยุกต์กับปัจจุบันได้
  • เนื้อหาฟังดู common sense ทั้งที่จริงๆ เป็นแนวทางการลงทุนที่ค่อนข้างแปลก ถ้าอ่านไหลไปเรื่อยๆ แบบไม่คิดตาม จะคิดไปเองว่า “รู้แล้ว” ทั้งที่ยังไม่เข้าใจจริง พออ่านจบแล้วจะไม่ได้อะไร

 

7. หนังสือหุ้น The Winning Investment Habits of Warren Buffett & George Soros บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ

หนังสือหุ้น 7
หนังสือ บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ

ผู้เขียน Mark Tier (มาร์ก เทียร์)

ผู้แปล ชัชวนันท์ สันธิเดช, สุภศักดิ์ จุลละศร

เล่มนี้เป็นแนวจิตวิทยา-กลยุทธ์การลงทุน พออ่านเล่มนี้แล้วคุณจะเข้าใจว่าการลงทุนมันไม่ได้มีแค่กลยุทธ์เดียวแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ อย่างที่เขาสอนกัน คุณควรสร้างกลยุทธ์ของตัวเอง เพราะทุกคนมีนิสัยและความถนัดต่างกัน เล่มนี้จะพูดถึงกลยุทธ์หลายๆ แบบ เหมาะกับคนที่กำลังหาแนวทางของตัวเองไว้ดูเป็นต้นแบบครับ

ข้อดี

  • พูดถึงนักลงทุนที่หลากหลาย ทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์ว่าที่จริงนักลงทุนก็มีหลายแบบ เราจึงนำสไตล์ต่างๆ มาสร้างเป็นแนวทางของเราได้
  • มีการสรุปหลักง่ายๆ ที่ทำตามได้ชัดเจน เพื่อให้เราสร้างเป็นรูปแบบการลงทุนที่เข้ากับนิสัยของเราเอง
  • พูดถึง “หลักสำคัญที่นักลงทุนทุกคนต้องทำ ไม่ว่าจะสไตล์ไหน” ซึ่งเป็นทั้งคำเตือนและคำแนะนำที่สำคัญมาก

ข้อเสีย

  • มีการพูดถึงสไตล์การลงทุนที่หลากหลายจนคุณอาจสับสน เขาจะพูดถึงทั้งคนที่ลงทุนระยะยาวและเทรดหุ้นซื้อขายระยะสั้น ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีคิดของตัวเอง บางทีก็ขัดกันเอง จึงเป็นการยากที่เราจะตัดสินได้ว่าควรทำแบบไหน และแบบไหนเหมาะกับเรา
  • บางครั้งเราไม่ควรเอาการลงทุนสไตล์ที่ต่างกันมากๆ มาผสมกัน แต่หนังสือเล่มนี้ยังไม่บอกว่าควรหรือไม่ควรผสมกันอย่างไร เราอ่านจบบางครั้งจึงเอาสิ่งที่ไม่ควรทำมาผสมกัน เกิดเป็นวิธีลงทุนที่ผิดพลาดและเป็นประสบการณ์ราคาแพง

 

8. หนังสือหุ้น The Dhandho Investor นักลงทุนดันโด

หนังสือหุ้น 8
หนังสือ The Dhandho Investor นักลงทุนดันโด

ผู้เขียน Mohnish Pabrai

ผู้แปล พรชัย รัตนนนทชัยสุข

หนังสือเล่มนี้พูดถึงแนวทางการลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูง เขาจะสอนให้เราลงทุนในธุรกิจที่เรียบง่าย มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืน แต่ให้หาจังหวะที่ธุรกิจพวกนั้นมีปัญหาชั่วคราว ราคาหุ้นจะถูกเป็นพิเศษ เราจึงใช้โอกาสนี้เข้าซื้อ ผมอ่านแล้วคิดว่ากลยุทธ์ในหนังสือนี้ดีใช้ได้เลย ถ้าเอาไปใช้น่าจะได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจและความเสี่ยงน้อย แต่ถ้าเทียบกับสไตล์ของปีเตอร์ ลินช์ (One Up On Wall Street) หรือวอร์เรน บัฟเฟตต์ (The New Buffettology) ผมยังชอบของสองคนหลังมากกว่า

ข้อดี

  • อธิบายเข้าใจง่าย ไม่สับสน ลงมือทำตามได้ง่ายๆ
  • เป็นการรวมหลักการลงทุนแนวเน้นคุณค่าหรือ VI มาให้เราอย่างครบถ้วน อ่านแล้วจะได้ทบทวนหลักสำคัญต่างๆ

ข้อเสีย

  • ตัวอย่างไม่ค่อยดี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่ากว้างๆ ซึ่งไม่ได้อธิบายบริบทให้ชัดเจน เราอ่านแล้วจะพยักหน้า แต่ถ้าคิดให้ดี เราจะยังไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ (เช่น นาย A ซื้อหุ้น จากนั้นหุ้นก็ขึ้น ได้ข้อสรุปว่าควรซื้อหุ้นแบบนี้ โดยที่เราไม่ทันคิดว่าต่อให้ใช้หลักการเดียวกัน แต่ถ้าสถานการณ์เป็นอีกแบบ หุ้นตัวนี้ก็ไม่ควรซื้อ)
  • บางเรื่องที่เขียนในหนังสือเป็นทฤษฎีที่ใช้จริงไม่ได้ หรือต่อให้ใช้ได้ก็ต้องมีประสบการณ์ในการประยุกต์ทฤษฎีนั้นกับสถานการณ์ที่หลากหลาย จนบางครั้งสิ่งที่ช่วยเราจริงๆ ไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นประสบการณ์มากกว่า

 

9. หนังสือหุ้น เพาะหุ้นเป็นเห็นผลยั่งยืน

หนังสือหุ้น 9
หนังสือ เพาะหุ้นเป็นเห็นผลยั่งยืน

ผู้เขียน กวี ชูจิตเกษม

เล่มนี้เหมาะกับมือใหม่ครับ เขียนด้วยเนื้อหาที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย อ่านแล้วเอาไปใช้ได้เลย ข้างในจะอธิบายหลักการสำคัญไว้ละเอียด เหมาะสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นให้เร็วที่สุด

ข้อดี

  • เหมาะกับมือใหม่ เขียนให้ทุกคนอ่านแล้วเข้าใจ

ข้อเสีย

  • เนื้อหาค่อนข้างพื้นฐาน ที่จริงคุณอ่านเล่มข้างบนๆ ก็จะครอบคลุมเนื้อหาเล่มนี้

 

10. หนังสือ AI SUPERPOWERS

หนังสือหุ้น 10

ผู้เขียน Kai-fu Lee

ผู้แปล วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา

นี่ไม่ใช่หนังสือที่พูดถึงการเล่นหุ้นแม้แต่ประโยคเดียว แต่ผมกลับคิดว่ามีประโยชน์กับนักลงทุนมากกว่าหนังสือเล่นหุ้นทั่วไปเสียอีก หนังสือเล่มนี้จะพูดถึง “AI” และ “มหาอำนาจจีน vs อเมริกา” แค่คุณอ่านเล่มนี้จบ คุณจะเข้าใจทันทีว่าอีกไม่นาน AI คือเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนชีวิตเรายิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต และความขัดแย้งของสองชาตินี้จะโยงกลับมาถึงทุกธุรกิจ รวมถึงหุ้นทุกตัวบนโลก อย่างเลี่ยงไม่ได้ ลองดูตัวอย่างที่นี่

อย่าลืมว่าการลงทุนต้องมองไปที่อนาคต ถ้าคุณไม่เข้าใจอนาคต ก็ไม่มีทางลงทุนได้ดี

ข้อดี

  • อธิบายได้เห็นภาพ เราจะเข้าใจทันทีว่า AI จะมาเปลี่ยนชีวิตเรายังไง และกำลังเกิดอะไรขึ้นในโลกบ้าง
  • มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวหลายเรื่อง ซึ่งมาจากชีวิตจริงของผู้เขียนที่เป็นคนเอเชียที่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำในอเมริกา (หายากมาก) และต่อมาได้ผันตัวเป็นนักลงทุนแนวเทคโนโลยี เรื่องแบบนี้คุณหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้อีก แต่ถ้าคุณได้อ่าน จะเข้าใจโลก เข้าใจจีน เข้าใจอเมริกา และเข้าใจ AI มากขึ้น
  • มีการพูดถึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่เกิดจาก AI อย่างน่าสนใจ พร้อมทั้งตอบคำถามที่หลายคนอาจสงสัย “แล้วอาชีพไหนจะตกงาน อาชีพไหนจะอยู่รอด”

ข้อเสีย

  • เนื้อหาหลายเรื่องเป็นการทำนายอนาคต ซึ่งคนเขียนก็ยังฟันธงไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร เขาจึงอธิบายภาพอนาคตหลายๆ เส้นทางให้เราฟัง เราต้องคิดต่อเองว่าน่าจะเป็นแบบไหน

 

อ่านหนังสือลงทุนจบแล้วไม่รู้จะเริ่มลงทุนยังไง?

คอร์สลงทุน บิงโก

อยากศึกษาเรื่องการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?

บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูง มือใหม่เรียนจบก็พร้อมลงทุนจริงได้เลย

คอร์สนี้ถูกออกแบบให้พิเศษกว่าคอร์สลงทุนทั่วไป เพราะมาจากหนังสือลงทุนของเซียนหุ้นระดับโลก ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, เบนจามิน เกรแฮม, ดร.นิเวศน์ และอื่นๆ จนเหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” ทุกเล่มที่เราคัดมาคือหนังสือลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “ของจริง” และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว

ดูรายละเอียด

นอกจากนี้ ผมได้สรุปกลยุทธ์ลงทุนหุ้นที่นิยมที่สุด 4 สไตล์ไว้ให้คุณดูด้วย โดยวิธีที่ผมแนะนำคือการลงทุนแนวเน้นคุณค่าหรือ VI

คุณยังอาจเข้าไปดูเทคนิควิเคราะห์งบการเงินสำหรับมือใหม่ครับ หรือถ้าคุณอยากค่อยๆ เริ่มคิด คุณสามารถอ่านขั้นตอนง่ายๆ ในการเริ่มลงทุน ที่ผมสรุปไว้ให้แล้วได้เลยครับ

 

 

4 thoughts on ““หนังสือลงทุน” แนะนำ 10 เล่มที่คุณควรอ่านก่อนลงทุนหุ้น ปี 2021 [คัดมาเน้นๆ จุใจ]

  1. สายน้ำผึ้ง says:

    เราอ่านหนังสือแล้วชอบจังเลยคะ มีคอร์สสอนลงทุนดีๆแนะนำไหมคะ

  2. baboohm says:

    วิเคราะห์และเล่มอย่างชัดเจน และตรงไปตรงมามากค่ะ ขอบคุณมากๆสำหรับความตั้งใจที่เขียนบทความนี้ออกมาอย่างดี เป็นประโยชน์มากค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก