ดนตรีแร็พหรือฮิปฮอปได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคนี้ และด้วยความนิยมนั้นเองที่ทำให้เม็ดเงินจำนวนมากหลั่งไหลไม่หยุด เหล่าศิลปินฮิพฮอพต่างก็พากันอวดทองเส้นเบ้อเร่อ รถสปอร์ต แมนชั่นหรูในมิวสิควิดีโอของตัวเอง หรือแม้แต่ในชีวิตจริง กลายเป็นอิมเมจของชีวิตชาวแร็พกันไป
แต่ต่อให้มีชีวิตหรูหราแค่ไหน จะมีสักกี่คนที่มีทรัพย์สินถึงพันล้านดอลลาร์? นั่นมันระดับโคตรมหาเศรษฐีชัดๆ แต่ก็มีคนทำได้มาแล้วค่ะ เขาคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน Jay-Z นักร้องแร็พชื่อก้องโลก และคุณสวามีของควีนบี Beyonce ของเรานั่นเอง
ฌอน โครี คาร์เตอร์ (Shawn Corey Carter) หรือชื่อในวงการว่า เจย์ซี (Jay-Z) เกิดวันที่ 4 ธันวาคม 1969 ที่เมืองบรูคลิน รัฐนิวยอร์ก
เจย์ซีถูกพ่อทิ้งไปตั้งแต่เขาอายุ 11 ขวบ เรียนไฮสคูลก็ไม่จบ เขาบอกในบทสัมภาษณ์และในหลายบทเพลงว่า ในช่วงวัยรุ่น เขาเคยเป็นเด็กเดินยา ขายโคเคน และเคยถูกยิงถึง 3 ครั้งด้วยกัน
เจย์ซีผ่านจุดเริ่มต้นที่ยากลำบากขนาดนั้นมาได้ยังไง? อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเลือกเส้นทางเพลงแร็พ? แล้วการเป็นนักร้องเพียงอย่างเดียวทำให้มั่งคั่งได้ถึงพันล้านเลยเชียวเหรอ?
ตามไปดูกันเลยค่ะ
แรงบันดาลใจก่อนจะมาเป็นราชาฮิพฮอพ
แม่ของเจย์ซี กลอเรีย คาร์เตอร์ บอกว่าเจย์ซีชอบเล่นตีกลอง (เคาน์เตอร์ครัว) แม้จะดึกดื่น จนตื่นกันทั้งบ้าน แม่เลยซื้อวิทยุเทปเป็นของขวัญวันเกิดให้เจย์ซี และนั่นเองที่เป็นจุดประกายความสนใจเกี่ยวกับดนตรีให้กับเจย์ซี เขาเริ่มเขียนเนื้อเพลงเอง และร้องแร็พแบบฟรีสไตล์ แถวบ้านรู้จักเขาในนาม “Jazzy” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “Jay-Z” ในภายหลัง
แต่ถ้าดังแค่แถวบ้านตัวเอง เจย์ซีคงไม่ได้มีชื่อเสียงและเงินมหาศาลขนาดนี้ใช่มั้ยล่ะคะ
แล้วอะไรที่เป็นตัวผลักให้เขาก้าวมาถึงตรงนี้ได้?
ก้าวแรกสู่วงการ
แม้จะทำเพลงจนหลายคนชื่นชอบ แต่ก็ไม่มีค่ายเพลงที่ไหนซื้อผลงานของเขา เจย์ซีเลยขายอัลบั้มเพลงของตัวเองจากการตระเวนขับรถนั่นแหละ และต่อมาในปี 1995 เขาก็ร่วมมือกับ Damon Dash และ Kareem Burke ตั้งค่ายเพลงของตัวเองซะเลย ชื่อว่า Rock-A-Fella
ผมเลือกได้แค่ว่าจะยอมแพ้หรือจะตั้งบริษัทมันเองซะเลย
– เจย์ซีกล่าวหลังจากโดนค่ายเพลงปฏิเสธ
อัลบั้มแรกของเขา Reasonable Doubt พุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับที่ 23 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ในอเมริกาและยังถูกยกย่องว่าเป็น “1 ใน 500 อัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาล” จากนิตยสาร Rolling Stones ภายในปี 2006 ยอดขายแค่เพียงในอเมริกาก็แตะ 1.5 ล้านแผ่นเข้าไปแล้ว หลายคนบอกว่านี่คืออัลบั้มแร็พที่ดีที่สุดตลอดกาลเลยทีเดียว
ขยับขยายออกนอกวงการเพลง
ในปี 1999 เจย์ซีร่วมกับ Damon Dash อีกครั้งในการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมา Rocawear เป็นแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายคือเด็กและวัยรุ่น แน่นอนว่าออกแนวสตรีท ได้บรรยากาศฮิพฮอพแบบเต็มๆ
ต่อมาในปี 2007 เจย์ซีขายลิขสิทธิ์แบรนด์นี้ให้กับ Iconic Brands เป็นมูลค่า 204 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ยังถือหุ้นอยู่ และยังคอยคุมงานการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ในปี 2011 Rocawear จับมือกับนักร้องชื่อดัง Pharell William กับแบรนด์เสื้อผ้าของเขา Billionaire Boys Club
Rocawear มียอดขายมากกว่า 700 ล้านดอลลาร์ต่อปี
สร้างแบรนด์เครื่องดื่มสำหรับชาวแร็พ
ในปี 2006 แชมเปญยี่ห้อ Cristal เป็นที่นิยมในหมู่ศิลปินฮิพฮอพเป็นอย่างมาก แต่พอนิตยสาร The Economist เข้าไปสัมภาษณ์ Frédéric Rouzaud ผู้บริหารของ Cristal เขากลับบอกว่า “จะทำอะไรได้ล่ะครับ เราห้ามคนไม่ให้ซื้อไม่ได้ซะหน่อย อันที่จริงยี่ห้ออื่นๆ คงจะดีใจมากกว่าถ้าได้ลูกค้าแบบนี้ไป” ซึ่งฟังดูแล้วออกจะเหยียดผิวในสายตาใครหลายคน ซึ่งรวมถึงเจย์ซีด้วย เจย์ซีเลยจัดการบอยคอต Cristal ซะ แล้วซื้อบริษัทแชมเปญสัญชาติฝรั่งเศส Armand de Brignac มาทำแบรนด์ของตัวเอง
แชมเปญในขวดสีทองเงาดูราคาแพงขวดนี้ สนนราคาแล้วก็ขวดละ 300 ดอลลาร์ หรือประมาณ 9,000 บาทไทย โลโก้รูปโพธิ์ดำบนขวดทำให้เจ้าแชมเปญยี่ห้อนี้มีชื่อเล่นว่า Ace of Spades มันกลายมาเป็นที่นิยมในหมู่ชาวแร็พอย่างรวดเร็ว แถมยังได้ไปปรากฏตัวบนเอ็มวีของเจย์ซีตัวนึงในเพลง “Show Me What You Got” อีกด้วย แค่นั้นยังไม่พอ ทรัพย์สินของเจย์ซียังพุ่งขึ้นไปแตะ 520 ล้านดอลลาร์หลังลงทุนกับเจ้า Ace of Spades นี่ ถือว่าเป็นความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งของเจ้าพ่อนักธุรกิจ (ที่ร้องเพลงแร็พ) คนนี้จริงๆ ค่ะ
ความสำเร็จต่อเนื่องจากแชมเปญขวดสีทอง
เมื่อเจย์ซีเห็นความสำเร็จอย่างล้นหลามของแชมเปญขวดทองอร่าม Ace of Spades แล้ว เขาก็เกิดความคิดอยากจะขยับขยายในธุรกิจนี้ไปอีก เจย์ซีจับมือกับบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชื่อดัง Barcadi เพื่อร่วมกันสร้างเหล้าบรั่นดียี่ห้อ D’Usse ขึ้นมาในปี 2012
D’Usse ถูกบ่มในโรงบรั่นดีที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ชื่อว่า Château de Cognac (โรงบรั่นดีแห่งนี้ถูกก่อตั้งมากว่า 200 ปีแล้ว)
ในงานแกรมมี่ปี 2013 เจย์ซีกวาดรางวัลกลับบ้านไปไม่ใช่น้อย เลยถือโอกาสฉลองด้วยการดื่ม D’Usse จากถ้วยรางวัลมันซะเลย
เจย์ซีถือหุ้นของ D’Usse รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์
กลายเป็นเจ้าพ่อวงการบันเทิงเต็มตัว
ในยุคดิจิตอล ผู้คนต่างก็หันมาดู Youtube สตรีมเพลง มากกว่าดูทีวีหรือฟังวิทยุกันแล้ว ในปี 2008 เจย์ซีจึงจับมือกับยักษ์ใหญ่วงการบันเทิง Live Nation เพื่อสร้าง Roc Nation ขึ้นมา
Roc Nation เป็นบริษัทที่รวมการจัดการความบันเทิงมาไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการผลิตงานเพลง ทำหนัง จัดหาดาวรุ่ง จัดทัวร์คอนเสิร์ต และยังมีอื่นๆ อีก Roc Nation ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ Sony Music ในปี 2009 และเมื่อหมดสัญญาก็หันไปเซ็นสัญญากับ Universal Music ในปี 2013
ส่วนศิลปินภายใต้สังกัดก็มีชื่อเสียงไม่เบา หลายคนคงคุ้นชื่อคุ้นหน้า ทั้ง Rita Ora, Demi Lovato, RIHANNA, Kanye West และ DJ Khaled เป็นต้น
ผลงานในวงการภาพยนตร์อาจจะยังไม่เป็นที่ประจักษ์ แต่ผลงานซีรี่ส์กึ่งสารคดีเรื่องล่าสุดเมื่อเดือนสิงหา ปี 2019 ที่เพิ่งผ่านมาก็ได้รับความสนใจไม่น้อย Free Meek เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างศาลยุติธรรมของสหรัฐฯ และศิลปินฮิพฮอพชื่อดัง Meek Mill โดย Meek Mill และ เจย์ซีเป็นผู้อำนวยการผลิตด้วยตัวเอง
เจย์ซีถือหุ้นของ Roc Nation รวมมูลค่ากว่า 75 ล้านดอลลาร์
ปรับตัวสู่ยุคดิจิตอล
เจย์ซียังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ในปี 2015 เขาซื้อบริษัทสัญชาตินอร์เวย์ที่ชื่อ Aspiro บริษัทนี้เป็นเจ้าของบริการสตรีมเพลงและวิดีโอชื่อดังอย่าง TIDAL (คล้าย JOOX, Spotify) มูลค่า 56.2 ล้านดอลลาร์ นี่ถือเป็นก้าวแรกในวงการดิจิตอลของเจย์ซี
เขายังชักชวนเพื่อนศิลปินร่วมวงการให้มาพาร์ทเนอร์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Kanye West, Daft Punk, Madonna, RIHANNA และแน่นอน ภรรยาสุดที่รัก Beyonce ก็มาด้วย
เจย์ซีเป็น 1 ในศิลปินแร็พที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดจากทั่วโลก และนั่นคือพรสวรรค์อย่างแรกที่พาให้เขาเป็นเจย์ซีอย่างทุกวันนี้ แต่ถ้าบทความนี้จะบอกอะไรบางอย่างก็คือพรสวรรค์อย่างที่สองของเจย์ซี ซึ่งก็คือการเป็น นักธุรกิจและนักแสวงหาโอกาส ตัวตนแห่งศิลปินกรุยทางให้เขาสร้างธุรกิจและขยายกิ่งก้านออกไป
เจย์ซีเคยกล่าวไว้ว่า
ผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทั้งนั้นแหละครับ คุณคิดว่าตัวเองเก่งเรื่องอะไรก็ทุ่มเทให้กับมัน แล้วจะไม่มีอะไรมาหยุดคุณได้
เมื่อไหร่ก็ตามที่เจย์ซีรู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัดอะไรซักอย่าง เช่น ในด้านการผลิตหรือจัดจำหน่าย เขาก็จะจับมือกับคนที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ และร่วมกันสร้างสิ่งที่เขาตั้งใจขึ้นมา (อย่าลืมเก็บหุ้นส่วนของตัวเองไว้ด้วยนะ)
ปิดท้ายด้วยเนื้อส่วนหนึ่งในเพลง Diamonds From Sierra Leone (REMIX) เจย์ซีร้องไว้ว่า
I’m not a businessman. I’m a business, man. (ผมไม่ใช่นักธุรกิจ แต่ผมนี่แหละคือ “ธุรกิจ”)
บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ
- มีทีมที่ดีก็เท่ากับมีชัยไปกว่าครึ่ง ดังที่เจย์ซีเองก็ไม่ได้ทำงานคนเดียว เขาควานหาคนร่วมงานที่ไว้ใจได้เพื่อมาซัพพอร์ตโปรเจกต์ของเขา แล้วไม่ว่างานจะหนักหรือเบาแค่ไหนก็ง่ายขึ้นเป็นกอง ด้วยสูตรการเฟ้นหาคนเพื่อให้เหมาะกับงาน และหางานให้สมกับคนที่มีอยู่ รวมถึงเกร็ดการปรับกระบวนการทำงานขององค์กรจากรากฐาน ทั้งหมดนี้ให้ผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์มาแล้ว ซึ่งก็คือ สตูดิโออนิเมชัน Pixar ที่เราๆ คุ้นหูคุ้นตากันดีนี่เอง ตามไปอ่านกันต่อในหนังสือ Creativity, Inc.
- ทั้งบทความนี้จะเห็นได้ว่าเจย์ซีสร้างแบรนด์ของตัวเองเป็นว่าเล่น แต่อะไรๆ ไม่ง่ายอย่างที่ตาเห็น อย่าง TIDAL เองก็สู้คู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง Spotify ไม่ได้ ขนาดแบรนด์สปอร์ตชื่อดัง Nike เองก็ไม่ได้ดังเปรี้ยงในคืนเดียว หนังสือ Shoe Dog จะชวนคุณเดินทางผ่านไทม์ไลน์ของ ฟิล ไนท์ ผู้คิดค้นแบรนด์ Nike ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันชนิดเกาะติดขอบสนาม แล้วคุณจะได้รู้ว่าการสร้างแบรนด์นั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่เกินความสามารถคนธรรมดาอย่างเราๆ ด้วยเหมือนกัน
แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม
- ขอบคุณบทความดีๆ จาก Roger Hamilton ผู้ก่อตั้ง Entrepreneurs Institute
- ภาพเจย์ซีที่งานพรีเมียร์หนังไลอ้อนคิง จากบทความบนเว็บไซต์ hiphopdx
- ภาพเจย์ซีที่สำนักงานที่แมนฮัตตัน โดย Atsuko Tanaka
- ภาพริฮานน่าล่าสุดในงานการกุศล Diamond Ball เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา อ่านเนื้อหาเต็มๆ ได้ที่เว็บไซต์ standard insider
- เรื่องราวและภาพลีลาการดื่ม D’Usse จากถ้วยรางวัลแกรมมี่ของเจย์ซี จากบล็อก Cognac Expert