เปลี่ยนทุกวันทำงานของคุณให้เป็นวันที่ยอดเยี่ยม
ด้วยหนังสือ Manage Your Day-to-Day
ผมคิดเสมอว่า อยากเป็นคนทำงานเก่ง บริหารเวลาในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี และมีความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลา ฟังดูเหมือนผมเป็นคนโลภมาก แต่เมื่อผมได้อ่านหนังสือ Manage Your Day-to-Day ของโจเซลีน กลี ผมกลับพบวิธีที่ผมสามารถเป็นคนที่ผมอยากจะเป็นได้
กลี เป็นเจ้าของบล็อก 99U เว็บที่ช่วยแนะนำผู้คนในการจัดการกับไอเดีย เวลา และการทำงาน เว็บไซด์ของเธอได้รับความนิยมมากจนได้รับรางวัล Best Cultural Blog จากงาน Webby Awards ถึง 2 สมัยด้วยกัน เธอได้รวบรวมเทคนิคต่างๆ จาก 20 สุดยอดบุคคลที่ถูกยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยมจากหลากหลายวงการจนกลายเป็นหนังสือแนวพัฒนาตัวเองเรื่องเยี่ยมเล่มนี้
ผมได้เรียนรู้เทคนิคง่ายๆ แต่น่าสนใจมากมายที่ช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น
- ไหมขัดฟันช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
- ทำไมเราถึงไม่ควรตอบอีเมลก่อนถึงเวลาอาหารกลางวัน
- เมื่อคุณทำสวน ความคิดสร้างสรรค์ของคุณจะเปิดกว้างมากกว่าเดิม
เรามาดูกันดีกว่าครับว่า กลี มีเทคนิคที่น่าสนใจอะไรมาให้เราบ้าง
คุณต้องสร้างกิจวัตรประจำวันที่เหมาะกับจังหวะของร่างกาย
ในหนึ่งวัน ร่างกายของเรามีจังหวะของมัน พลังงานในร่างกายจะเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่พลังงานของเรามีสูงที่สุด ดังนั้นคุณจึงควรเก็บเวลาช่วงเช้าไว้ทำงานชิ้นสำคัญ
อย่าเริ่มต้นวันด้วยการอ่านอีเมล
แม้อีเมลฉบับนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่เราก็ต้องยอมรับว่า การอ่านอีเมลไม่ต้องใช้พลังงานหรือความคิดสร้างสรรค์อะไรมากนัก ถ้าคุณเอาช่วงเวลาที่คุณมีพลังงานมากที่สุดไปทำเรื่องสำคัญของคนอื่น กว่าคุณจะได้กลับมาทำงานสำคัญหรือโปรเจคของคุณเอง คุณก็เหนื่อยล้าเรียบร้อยแล้ว
มาร์ค แมคกินเนสส์ โค้ชด้านความคิดสร้างสรรค์ แนะนำในเรื่องนี้ว่า “ให้คุณเริ่มต้นวันด้วยการทำโปรเจคของตัวเองก่อน อย่าอ่านอีเมลก่อนที่คุณจะทำงานของตัวเองเสร็จ”
พักเบรคและนอนหลับให้เพียงพอ
คนทั่วไปจะรู้สึกนอนหลับเต็มอิ่มเมื่อได้นอนหลับ 7 ชั่วโมงในแต่ละคืน ดังนั้นคุณก็ควรนอนให้ได้ 7 ชั่วโมงในแต่ละคืนสิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ อย่าลืมพักเบรคเวลาทำงานด้วย งานวิจัยหลายชิ้นบอกว่า คนเราจะทำงานได้เต็มที่เป็นรอบ รอบละ 90 นาที จากนั้นประสิทธิภาพจะเริ่มลดลง คุณจึงควรพักเบรคและผ่อนคลายเป็นระยะเพื่อเติมพลังให้ร่างกายด้วย
ทำงานอย่างสม่ำเสมอคือ กุญแจสำคัญของความคิดสร้างสรรค์
เมื่อคนเราต้องทำงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ หลายคนจะรู้สึกว่าไม่สามารถทำได้ทุกวันเพราะไม่มีแรงบันดาลใจ แต่นั่นไม่ใช่ความจริง
นักเขียนอย่างเกรทเชน รูบิน บอกว่า การทำโปรเจคที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ทุกวัน ถึงคุณจะใช้เวลาทำแค่วันละ 30 นาที คุณก็สามารถมีไอเดียใหม่ๆ ได้เสมอ
ไอเดียดีๆ มักจะเกิดขึ้นตอนที่เราไม่คาดคิด เช่น เราอาจจะได้สีที่เหมาะกับการทำสไลด์เพื่อนำเสนอในตอนที่เพื่อนของเราเอารองเท้าผ้าใบสีเขียวสะท้อนที่เพิ่งซื้อมาใหม่มาให้เราดู
นอกจากนี้ การทำงานเป็นประจำยังช่วยลดความเครียดได้ด้วย
ถ้าคุณเป็นนักข่าวแล้วต้องทำงานให้ทันเส้นตาย การที่คุณทำงานทุกวันจะช่วยให้คุณมีเวลามากพอที่จะลองเขียนข่าวในรูปแบบต่างๆ เพื่อค้นหารูปแบบที่ดีที่สุด เมื่อเกิดปัญหาเช่น แหล่งข่าวไม่ติดต่อกลับหรือโดนบรรณาธิการสั่งให้แก้งาน คุณก็จะไม่เครียดมากนัก เพราะคุณรู้ว่าตัวเองมีเวลามากพอที่จะทำให้งานเสร็จทันเส้นตายนั้น
ฝึกโฟกัสและไม่สนใจสิ่งที่ทำให้คุณเสียสมาธิ
คงดีไม่น้อย ถ้าเราสามารถทำงานโดยไม่เสียสมาธิ อีริน รูนีย์ โดแลนด์ นักเขียนและที่ปรึกษาด้านการทำงานมี 2 เทคนิคที่สามารถช่วยคุณได้
เทคนิคแรกคือ ฝึกโฟกัสเรื่องอื่นๆ ของชีวิต เช่น การฝึกใช้ไหมขัดฟันมาขัดฟันทุกคืน เป็นการช่วยฝึกการควบคุมตัวเองให้ทำสิ่งที่น่าเบื่อและกินเวลาโดยไม่เสียสมาธิ ซึ่งถ้าเราทำจนเป็นนิสัย เราก็สามารถทำแบบนี้กับงานประจำที่ดูน่าเบื่อได้
เทคนิคที่สองคือ เปลี่ยนความสนใจในทางลบไปเป็นบวก และให้รางวัลตัวเองเมื่อทำงานสำเร็จ ในงานวิจัยชิ้นหนึ่ง นักวิจัยให้เด็กๆ มานั่งในห้องที่มีมาร์ชเมลโล่วางอยู่ พวกเขามีทางเลือกให้เด็กๆ 2 ทาง คือ
- กินมาร์ชเมลโล่เดี๋ยวนั้น
- รอไปอีกสองสามนาทีแล้วจะได้มาร์ชเมลโลเพิ่มเป็น 2 ชิ้น
เด็กที่เปลี่ยนความสนใจในทางลบอย่างมาร์ชเมลโล่ ให้กลายเป็นทางบวก เช่น การร้องเพลง จะสามารถรอเพื่อจะเอามาร์ชเมลโล่ 2 ชิ้นได้ นั่นแสดงว่า พวกเขาเปลี่ยนความสนใจจากมาร์ชเมลโล่ที่ทำให้เสียสมาธิได้สำเร็จ
คุณเองก็ทำแบบนี้ได้ เช่น ใช้การเล่นเฟซบุ๊กหรือเดินไปคุยเล่นกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นเป็นรางวัลหลังจากที่คุณทำงานของคุณเสร็จ
ทำงานแค่อย่างเดียวในเวลาเดียว คือการทำงานที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ความจริงแล้วคนเราไม่เก่งในการทำงาน 2 อย่างพร้อมกัน เพราะเราต้องสลับความสนใจจากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่ง ทำให้งานเสร็จช้าลงและไม่มีประสิทธิภาพ
งานวิจัยชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่า นักศึกษาที่อ่านหนังสือไปด้วยแชทกับเพื่อนไปด้วยจะใช้เวลาในการอ่านหนังสือหน้าเดียวมากกว่านักศึกษาที่มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การอ่านหนังสืออย่างเดียวถึง 25%
ดังนั้นคุณควรกำหนดช่วงเวลาในการทำงานและตัดสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิออกไป เพียงเท่านี้คุณก็ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้
คำถามที่หลายคนฉุกคิดขึ้นมาคงเป็น “แล้วถ้ามีเพื่อนร่วมงานมากวนล่ะ ฉันควรทำอย่างไร?”
คาล นิวพอร์ท ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ แนะนำว่า ถ้าคุณต้องการเวลา 2 ชั่วโมงเพื่อทำงาน ให้คุณกำหนดเวลานั้นลงไปในปฏิทินเหมือนที่คุณกำหนดเวลาประชุมหรือนัดหมายต่างๆ มันจะช่วยให้เพื่อนร่วมงานรู้ว่าเวลาไหนที่คุณต้องการโฟกัสแค่งานของคุณ พวกเขาจะได้ไม่มากวนคุณให้เสียสมาธิ
รู้ทันการใช้เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย
คนส่วนใหญ่มักจะเล่นอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียโดยที่ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ หลายคนมักใช้ตอนที่รู้สึกเบื่อหรือแค่อยากหาอะไรดึงความสนใจ แต่ปัญหาคือ เรามักใช้เวลากับมันนานเกินจำเป็น ดังนั้นวิธีแก้อาการนี้คือ ทุกครั้งที่ใช้โซเชียลมีเดีย ให้เราคิดเสมอว่าเราใช้มันทำไม
โลรี เดสชีน ผู้ก่อตั้งบล็อก tinybuddha.com แนะนำว่า คุณควรใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีเหตุผล เช่น คุณอาจเข้าไปแชร์โลเคชั่นร้านอาหารให้เพื่อน แต่เมื่อแชร์เสร็จแล้วคุณก็ต้อง Logout ทันที
การใช้โซเชียลมีเดียมีผลต่อสุขภาพ
ลินดา สโตน อดีตผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บอกว่า เวลาที่คนเรานั่งจ้องคอมพิวเตอร์นานๆ เราจะกลั้นหายใจหรือหายใจสั้นๆ โดยไม่ตั้งใจ และนี่สามารถทำให้เกิดโรคที่มีสาเหตุจากความเครียดได้
วิธีแก้ก็คือ ให้คุณรู้ตัวอยู่เสมอว่าคุณใช้เทคโนโลยีอย่างไร และฝึกเล่นโยคะหรือฝึกเทคนิคการหายใจอื่นๆ ด้วย
เทคโนโลยีมีไว้ช่วย ไม่ใช่ควบคุมชีวิตเรา ถึงสมาร์ทโฟนจะไม่ได้ควบคุมร่างกายของเรา แต่มันก็ควบคุมพฤติกรรมของเรา เราไม่ควรให้มันมาทำแบบนั้นได้ ดังนั้นถ้าเรากำลังทำเรื่องสำคัญ เช่น ออกเดท ก็ให้ปิดแจ้งเตือนทั้งหมดในสมาร์ทโฟนไป
ถ้าอยากทำงานให้มีประสิทธิภาพก็ให้ปิดสมาร์ทโฟนไปเลย
ถ้าคุณใช้สมาร์ทโฟนตลอดเวลา นั่นจะทำให้คนอื่นคิดว่าคุณว่างตลอดเวลาเช่นกัน
แดน เอเรียลี อาจารย์สอนจิตวิทยาและผู้เขียนหนังสือชื่อดังติดอันดับขายดีจาก New York Times อย่าง Predictably Irrational ซึ่งเป็นหนังสือที่เผยความลับว่าอะไรอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของคนเรา เขาได้แนะนำการใช้เทคโนโลยีของทีม IT ในบริษัทว่า ให้พนักงานเลื่อนการตอบอีเมลออกไป จะได้ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งต่างๆ เข้ามารุมเร้ามากเกินไป
มันอาจจะฟังดูเกินกว่าเหตุไปบ้าง แต่เชื่อเถอะครับว่า ถ้าคุณอยากมีสมาธิในการทำงาน ก็ลองปิดเครื่องมือสื่อสารทุกอย่าง หรือไม่ก็ไปอยู่ในห้องอื่นที่ไม่มีเครื่องมือสื่อสาร
ทุกคนมีวันที่ความคิดสร้างสรรค์สะดุด แต่มันก็มีทางออก
เวลาที่คุณคิดไอเดียใหม่ๆ ไม่ออก สิ่งที่คุณควรทำคือ การไม่ทำอะไรเลย
สก็อต เบลสกี้ รองประธานของ Adobe แนะนำว่า ให้เรากำหนดช่วงเวลาที่จะปล่อยจิตใจให้ว่างและล่องลอย ถ้ามันฟังดูยากเกินไป ก็ให้คุณลองเริ่มจากการคิดถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้และคิดแผนว่าคุณจะลงมือทำอะไร จากนั้นก็ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไป
เมื่อคนเราปล่อยใจให้ล่องลอย มันช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ เพราะเมื่อเราไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ เราจะสนใจความคิดกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น ความคิดสร้างสรรค์ก็จะเกิดจากจุดนี้
อย่าเป็นคนสมบูรณ์แบบ
เมื่อคุณต้องการความสมบูรณ์แบบ คุณอาจจะคิดไอเดียไม่ออกได้เหมือนกัน เพราะคุณจะเฝ้ารอจนกว่าจะเกิดไอเดียที่ดี่สุดจริงๆ แต่ถ้าไอเดียนั้นยังไม่เกิดขึ้น สถานการณ์รอบตัวจะเริ่มบีบบังคับให้คุณต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่าง เมื่อนั้นคุณจะยิ่งรู้สึกแย่ กดดัน และยิ่งคิดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่
วิธีแก้ก็คือ ให้คุณเริ่มลงมือทำโปรเจคของตัวเองทันทีถึงแม้จะยังไม่มีไอเดียก็ตาม วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีอะไรให้เริ่มต้นลงมือและเอาไปต่อยอดได้ในภายหลัง ถึงตอนแรกคุณจะยังคิดอะไรไม่ออกนัก แต่อีกไม่นานคุณก็จะคิดออกได้เอง
ฝึกร่างกายให้จับจังหวะของงานที่กำลังจะทำ
ถ้าคุณอยากทำงานได้ดีและราบรื่น ลองนำวิธีของนักเขียนอย่างจูเลีย คาเมรอนไปปรับใช้ดูก็ได้ครับ
ก่อนจะลงมือเขียนงานเล่มใหม่ เธอจะเขียนอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักสองสามหน้าเพื่อให้ร่างกายจับจังหวะการเขียนได้ แล้วค่อยลงมือทำงานจริง แถมเธอยังบอกอีกด้วยว่าวิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ร่างกายจับจังหวะการทำงานได้ดีแล้ว มันยังอาจสร้างแรงบันดาลใจในงานเขียนให้เธอได้ด้วย
งานอดิเรกสามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้
ถ้าคุณอยากเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ให้ตัวเอง ผมขอแนะนำให้คุณเริ่มทำงานอดิเรกอะไรก็ได้ เช่น ถ้าคุณเลือกการออกกำลังกาย มันจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ดี
ทอดด์ เฮนรี่ ผู้เขียนหนังสือ Accidental Creative แนะนำให้ลองทำสวนในเวลาว่าง เพราะการได้ปล่อยความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นอิสระเวลาทำสวนจะช่วยให้เรามีความคิดริเริ่มและได้ทดลองอะไรต่างๆ โดยไม่มีความกดดัน
ถ้าคุณอยากศึกษาเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น ทางบิงโกมีสรุปหนังสือชื่อดังที่พูดเรื่องนี้โดยเฉพาะอย่าง Getting Things Done ในบทความที่ชื่อ สรุปหนังสือ Getting Things Done คัมภีร์ไบเบิลสำหรับคนอยากเพิ่ม Productivity ให้คุณสามารถคลิกเข้าไปอ่านกันได้เลย!
Pingback: สรุปหนังสือ The One Thing โฟกัสแค่ 1 แต่ได้ถึง 100 - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ Deep Work วิธีทำงานแนวใหม่ ในยุคแห่งเทคโนโลยี