หนังสือ The Miracle Morning ที่แอดจะนำมาเสนอคุณผู้อ่านวันนี้ จะช่วยเปลี่ยนให้เช้าของคุณผู้อ่านกลายเป็นชีวิตใหม่ได้อย่างที่ต้องการ
ถึงตาของเราแล้ว นี่คือเรื่องราวที่เราจะได้เป็นตัวเอก
ที่ที่เราอยู่ ณ ตอนนี้คือที่ที่เหมาะสมแล้ว
เรามาอยู่ที่นี่เพราะมีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้อยู่ เพื่อที่เราจะได้เป็นคนที่ดีขึ้น และได้สร้างชีวิตอย่างที่เราใฝ่ฝัน ตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนการเขียนเรื่องราวการผจญภัยของตัวเอง และการผจญภัยใดๆ ก็คงไม่สนุก ถ้าไร้ซึ่งความท้าทาย
เรามีความสามารถมากพอที่จะเปลี่ยนหรือสร้างอะไรก็ตามในชีวิต และ The Miracle Morning ก็จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง
อย่าหยุดไขว่คว้าเป้าหมาย
The Miracle Morning ที่เขียนโดย Hal Elrod ได้นำเสนอแง่คิดดีๆ ไว้ว่า ตัวเรานั้นมีค่าและสมควรได้รับทุกสิ่งที่ทุกคนบนโลกใบนี้มี ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพที่ดี ฐานะการเงินที่ดี ความสุข ความรัก และความสำเร็จในชีวิต
เราควรท่องความจริงข้อนี้ไว้ตลอดเวลา เพราะมันสำคัญ ไม่ใช่แค่กับตัวเราเอง แต่มันส่งผลถึงครอบครัวของเรา เพื่อนของเรา ลูกค้าของคุณ เพื่อนร่วมงานของเรา ลูกๆ ของเราและใครก็ตามที่เรารู้จัก
อย่างไรก็ตามนะคะ ในการที่จะไขว่คว้าความสำเร็จในขีวิตส่วนตัว หน้าที่การงาน และฐานะการเงินนั้น ก็ต้องอาศัยการอุทิศตนในทุกๆ วันอย่างจริงจังด้วย
และความสำเร็จเหล่านี้ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความสามารถที่จะดึงดูด สร้าง และรักษาสิ่งใดก็ตามในอนาคตได้อย่างใจหวัง
กิจกรรมในยามเช้าส่งผลต่อทุกความสำเร็จในชีวิต
ถ้าเราเริ่มต้นเช้าวันไหนด้วยการทำสิ่งที่มีประโยชน์ วันนั้นทั้งวันของเราก็จะเป็นไปด้วยดี หากทำแบบนี้ทุกวัน ชีวิตเราก็จะราบรื่นไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้าเช้าวันไหนเรามัวแต่ยืดยาด นอนเล่นโทรศัพท์บนที่นอนเป็นชั่วโมง วันนั้นทั้งวันเราก็คงทำอะไรไม่สำเร็จเท่าไหร่
ลืมเป้าหมายและความคาดหวังของตัวเองซะแล้วหรอคะ? มาตื่นเช้ากันเถอะ!
หากเรามาลองเปลี่ยนพฤติกรรมในยามเช้าเสียหน่อย เราก็คงเปลี่ยนแง่มุมอื่นๆ ในชีวิตได้ไม่ยาก
สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราคือภาพสะท้อนตัวตนของเรา ความสำเร็จของเราก็คู่ขนานกับการพัฒนาตัวตนของเราเองด้วย หากเรายังคงไม่รู้จักอุทิศตัวให้กับการเป็นคนที่ดีกว่าเมื่อวาน ความสำเร็จก็ยังคงต้องเป็นเพียงเป้าหมายในการต่อสู้
95% ในสังคม
95% ของสังคมที่เราอาศัยอยู่มักพอใจกับแค่สิ่งที่ตัวเองมีหรือเป็นอยู่ โดยไม่เคยได้รู้เลยว่าพวกเขาจะมี หรือเป็น หรือทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจต้องการ
แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะได้เป็น 1 ใน 5% นั้น?
ขั้นที่ 1: ยอมรับ 95%
ใครๆ ก็รู้ว่าหลายคนใช้ชีวิตด้อยกว่าความสามารถที่แท้จริงของพวกเขา ถ้าเรายอมรับความจริงข้อนี้แล้ว เราก็จะเดินหน้าไปสู่ขั้นต่อไปได้ง่ายขึ้น
ขั้นที่ 2: ระบุสาเหตุของคนธรรมดา
เพื่อป้องกันการต้องใช้ชีวิตของคนธรรมดา 95% ต่อไปเรื่อยๆ เราต้องก่อนรู้ว่าอะไรทำให้ตัวเราตกไปอยู่ใน 95% นั้น
1. เราเครียดตลอดเวลา ตั้งแต่เมื่อวานเรื่อยมายันวันนี้
การที่จะเดินออกมาจากอดีตและเอาชนะขอบเขตจินตนาการ เราต้องเลิกคิดถึงอดีตซะก่อน แล้วเริ่มคิดหรือจินตนาการว่าชีวิตนั้นไร้ข้อจำกัด อะไรก็เป็นไปได้
2. เราอาจไม่ได้ตระหนักถึงเหตุผลของการมีชีวิตอยู่
เลือกเอาซักเหตุผลหนึ่ง อะไรก็ได้ที่ตัวเราอยากได้จริงๆ แล้วเริ่มออกเดินไปหามันซะ
3. เรามักนึกว่าเหตุการณ์ต่างๆ แยกกันอยู่
จากนี้ให้คิดซะว่าผลกระทบและผลที่ตามมาต่างๆ จากการกระทำของเรานั้นสำคัญเท่าๆ กัน หยุดแยกแยะแต่ละเหตุการณ์ออกจากกัน และมองทุกอย่างให้เป็นภาพรวม
ทุกสิ่งที่เราทำนั้นจะบอกได้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ซึ่งนั่นจะตัดสินชีวิตของเราในวันนี้และวันข้างหน้า
4. ตัวเราไม่มีวินัยพอ ลองหาเพื่อนสักคนมาคอยเช็คพฤติกรรมสิ
นี่คืออิทธิพลของความธรรมดา มีงานวิจัยบอกว่าเราจะกลายเป็นเหมือนๆ กับคนอีก 5 คนที่เราใช้ชีวิตด้วยมากที่สุด และคนที่เราใช้ชีวิตด้วยมากที่สุดก็อาจเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่เราเป็นเราอยู่ทุกวันนี้ ถ้ารอบตัวเรามีแต่คนเกียจคร้าน ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้นแหละ
ลองหันมาใช้เวลากับคนที่ให้พลังบวกและประสบความสำเร็จมาแล้วดูสิคะ แล้วพฤติกรรมในแง่บวกของพวกเขาก็จะส่งมาถึงเราเอง
5. เราขาดการพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง
การที่ความสำเร็จในแง่อื่นๆ จะก้าวข้ามขีดจำกัดของระดับการพัฒนาตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะความสำเร็จต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อนเสมอ
6. เรามัวแต่คิดว่า “เอาไว้ก่อน”
หลายๆ คนชอบคิดว่า “ไว้พรุ่งนี้ละกัน” จริงๆ แล้วนาทีนี้นี่แหละที่สำคัญกับตัวเรามากกว่าเวลาไหนๆ ในชีวิต เพราะสิ่งที่เราทำในวันนี้จะตัดสินตัวเราในวันพรุ่งนี้ และผลลัพธ์จากจุดนั้นก็จะตัดสินทั้งชีวิตของเรา
ขั้นที่ 3: ตัดสินใจ
ตัดสินใจไปเลยว่าเราจะทำอะไรให้ต่างไปจากวันนี้ ไม่เอาพรุ่งนี้ ไม่ใช่อาทิตย์หน้า เดือนหน้านี่โยนทิ้งไปได้เลย ลงมือซะวันนี้แหละ!
ทั้งชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ในวันที่เราเลือกที่จะก้าวเดินออกมาจากความธรรมดา 95% นั้น
วันที่เราตระหนักได้ว่าวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิต
และ ณ เวลานี้คือเวลาที่สำคัญมากกว่าเวลาไหนๆ
เช้านี้ตื่นมาทำไมเนี่ย?
คุณผู้อ่านเป็นเหมือนหลายๆ คนที่ชอบกดเลื่อนเวลาปลุกอยู่บ่อยๆ ในตอนเช้า หรือแม้กระทั่งตั้งนาฬิกาปลุกไว้หลายๆ เรือนกว่าจะลุกมาจากเตียงนอนได้หรือเปล่าคะ?
แต่ละครั้งที่คุณผู้อ่านแตะปุ่มเลื่อนนาฬิกาปลุกและคิดว่า “ไม่อยากตื่นเลย” ที่จริงมันแปลว่า “ชั้นไม่อยากออกไปใช้ชีวิตเลย” ต่างหาก!
เสียงที่บอกเราในตอนเช้ามีพลังมาก มันอาจมีผลถึงวันนั้นทั้งวันของเราเลยทีเดียว
จริงๆ แล้วร่างกายเราก็ต้องชั่วโมงนอนแค่เท่าที่สมองเราสั่งเท่านั้นแหละ
ถ้าเราบอกตัวเองว่าเรายังนอนไม่เต็มอิ่มเลยในตอนเช้า เราก็จะรู้สึกแบบนั้น
แต่ถ้าเราบอกตัวเองว่านอนพอแล้ว ร่างกายเราก็จะลุกโดยอัตโนมัติ ลองทดสอบว่าเวลานอนแค่ไหนที่คุณผู้อ่านคิดว่า “จำเป็น” จริงๆ ดูนะคะ
เคล็ดลับ 5 ข้อที่จะช่วยให้คุณผู้อ่านหยุดกดเลื่อนนาฬิกาปลุก
ขั้นที่ 1: ตั้งเป้าหมายก่อนนอน
สิ่งที่เราคิดในตอนเช้าคือสิ่งที่เราคิดก่อนนอน เพราะฉะนั้นจงคิดถึงสิ่งดีๆ ที่ต้องทำก่อนนอน เพื่อที่เช้าถัดไปจะได้ลงมือทำได้เลย
ขั้นที่ 2: วางนาฬิกาปลุกหรือโทรศัพท์ที่ใช้ปลุกไว้ไกลๆ ตัว
การวางนาฬิกาปลุกหรือโทรศัพท์ที่ใช้ปลุกไว้ให้พ้นมือ (หรือไกลๆ ตัวเลยยิ่งดี) จะบังคับให้เราลุกจากที่นอนโดยอัตโนมัติ (เพื่อไปปิดมัน — อย่ากลับมานอนต่อล่ะ!)
ขั้นที่ 3: แปรงฟัน
เดินตรงไปที่ห้องน้ำแล้วเริ่มแปรงฟันซะ
ขั้นที่ 4: ดื่มน้ำเต็มๆ 1 แก้ว
หลังจากนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงติดๆ กันโดยร่างกายไม่ได้รับน้ำเลยจะทำให้ร่างกายเรากระหายน้ำมาก
ผลที่ตามมาคือเรารู้สึกอ่อนล้า ดื่มน้ำเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขั้นที่ 5: อาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า
การอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกิจกรรมยามเช้าที่ทำได้ง่ายๆ แล้วหลังจากนี้เราก็จะรู้สึกตื่นได้โดยอัตโนมัติ
ตัวช่วยชีวิต – 6 แบบฝึกหัดที่ได้รับการันตีว่า จะช่วยคุณผู้อ่านให้พ้นจากความธรรมดา 95% ได้แน่ๆ
ความเงียบ
ความเงียบคือแบบฝึกหัดแรก มันจะทำให้เราเข้าถึงความคิดของตัวเองได้สะดวก
สิ่งที่ช่วยให้เกิดความเงียบ ได้แก่ การนั่งสมาธิ การสวดมนต์ การสูดหายใจเข้า-ออกลึกๆ เป็นต้น
การยึดมั่นในเป้าหมาย
การยึดมั่นในเป้าหมายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเปลี่ยนแปลงตัวตนของเราไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีกว่า
การยึดมั่นในเป้าหมายจะช่วยให้เราสามารถออกแบบและพัฒนาความคิดที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันไปอีกขั้นหนึ่ง
การจินตนาการ
การจินตนาการเป็นแบบฝึกหัดที่ช่วยให้เรารู้จักสร้างภาพผลลัพธ์ที่ต้องการได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายไหนหรือความปรารถนาใดก็ได้ทั้งนั้น
แล้วต่อไปก็ลองนึกถึงคนที่เราอยากจะเป็นและสิ่งที่เราต้องทำ พลังบวกจะช่วยให้เรามีกำลังใจที่ดี
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ แค่เพียงไม่กี่นาทีจากการขยับเขยื้อนร่างกายก็ช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้เราได้แล้ว
การออกกำลังกายยังช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี ทำให้เรามั่นใจในตัวเอง ช่วยให้เราคิดอะไรออกได้ง่ายขึ้นและมีสมาธิยาวนานขึ้นด้วย
การอ่าน
การอ่านเป็นอีกวิธีที่จะหาความรู้ หาไอเดีย และหาเคล็ดลับวิธีต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องพวกนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่วันใดก็วันหนึ่งแน่นอนค่ะ
การเขียน
การเขียนเป็นแบบฝึกหัดสุดท้าย เวลาที่เราเขียนความคิดของตัวเองลงไปบนกระดาษจะช่วยบอกบางสิ่งในแง่มุมที่ลึกลงไปมากกว่าสิ่งที่ตาเห็น
เขียนเป็นไดอารี่เลยยิ่งดี ไดอารี่จะทำให้เรามองอะไรๆ ได้ชัดเจนขึ้น จับไอเดียดีๆ ได้ ทบทวนบางอย่างที่ได้เรียนรู้มาระหว่างวัน และตามติดความก้าวหน้าในชีวิตได้ง่าย
แบบฝึกหัดเหล่านี้อาจดูยากในตอนแรก แต่ทำให้เป็นนิสัย แล้วมันจะช่วยเปลี่ยนชีวิตเราจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยทีเดียว
สรุปส่งท้ายก่อนวางหนังสือ The Miracle Morning
ตั้งหน้ารอวันรุ่งขึ้น!
คิดถึงสิ่งที่จะทำก่อนนอน พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ลงมือทำได้เลย (จำได้มั้ยคะ สิ่งสุดท้ายที่เราคิดก่อนนอน จะเป็นสิ่งแรกที่เราคิดหลังตื่น) คุณผู้อ่านอาจจะกำลังไปพบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน หรือกลางคืนหิวแทบตาย แบบนี้มื้อเช้าต้องอร่อยสุดๆ แน่ๆ! ค้นหาสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นในตอนเช้าจะทำให้เราลุกจากเตียงได้ง่ายขึ้น งานทุกอย่างจะเสร็จไวกว่าที่คาด และหากทำเป็นนิสัย ชีวิตเราก็จะประสบความสำเร็จไปด้วย
นำไปต่อยอด
- The Miracle Morning ถูกซื้อลิขสิทธิ์และแปลเป็นภาษาไทยแล้ว หาซื้อกันได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ 🙂
- 5 ขั้นตอนจัดการชีวิต พิชิตความสำเร็จ ก็เป็นอีกหนึ่งบทความจากสำนักพิมพ์บิงโกเรา ที่จะช่วยให้คุณผู้อ่านสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในชีวิตประจำวันและที่ทำงาน บทความนี้เป็นสรุปจากหนังสือดีๆ ที่ชื่อว่า Getting Things Done โดย David Allen เจ้าพ่อนักบริหารเวลาที่ใครๆ ก็ต้องซูฮก
Pingback: สรุปหนังสือ What the Most Successful People Do Before Breakfast