“ลงทุนอะไรดี’ ให้เงินงอกเงย ความเสี่ยงน้อย? นี่เป็นคำถามที่หลายคนคงสงสัยในใจ เพราะสมัยนี้การลงทุนไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เรามีเงินไม่มากก็เริ่มต้นลงทุนได้แล้ว แต่ในเมื่อเรามีทางเลือกในการลงทุนเยอะ จึงเป็นการยากตามมาว่า ตกลงเรา “ควรลงทุนอะไร” กันแน่ วันนี้ผมจึงขอนำเสนอการลงทุน 10 ชนิด และเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียให้คุณครับ
การลงทุนเป็นเหมือนการเดินเรือ ทิศทางสำคัญกว่าความเร็ว ต่อให้คุณเร่งรีบแค่ไหน แต่ถ้าคุณเดินทางผิดทิศ ชีวิตของคุณย่อมออกมาต่างจากที่หวังไว้ และพอถึงตอนนั้น กว่าจะรู้ตัวก็อาจสายไปแล้ว
ก่อนลงทุน คุณจึงควรวางแผนว่าจะลงทุนอะไร เพราะการลงทุนชนิดต่างๆ ไม่ได้ดีเท่าเทียมกันหมด สำหรับคนที่มีเงินก้อนหนึ่งแล้วไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรดี เรามาดูการลงทุนทั้ง 10 แบบกันเลย
- ลงทุนหุ้นปันผล
- ลงทุนหุ้น VI
- ลงทุนหุ้นต่างประเทศ
- ลงทุน Super Stock หุ้น 10 เด้ง
- ลงทุนคริปโตและบิทคอยน์
- ลงทุนกองทุนรวม
- ลงทุนตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้นกู้
- ลงทุนทองคำ
- ลงทุนอสังหาริมทรัพย์
- ลงทุนทำธุรกิจ
ถามตัวเอง 3 ข้อ เพื่อรู้เป้าหมายในการลงทุน
สิ่งแรกที่คุณต้องรู้ก่อนลงทุน คือเป้าหมาย “ฉันลงทุนไปเพื่ออะไร”
ถึงคุณจะถามว่าลงทุนอะไรดี ก็ไม่มีการลงทุนไหนเหมาะกับทุกคน เพราะทุกคนมีเงื่อนไขและเป้าหมายชีวิตไม่เท่ากัน
เพื่อนของคุณอาจลงทุนหุ้นได้กำไรดี แต่พอคุณไปลงทุน อาจหมดตัวกับมันไปเลยก็ได้
ก่อนลงทุน ผมมีคำถาม 3 ข้ออยากให้คุณถามตัวเองครับ
- เงินก้อนนี้เป็นเงินเย็นหรือเปล่า (ไม่ต้องรีบเอามาใช้)
- คุณอยากได้ผลตอบแทนสูงแค่ไหน
- คุณรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน
การลงทุนที่เหมาะกับตัวคุณ จะขึ้นอยู่กับคำตอบ 3 ข้อนี้
-
ข้อแรก ถ้าเงินของคุณไม่ใช่เงินเย็น (เงินที่ไม่ต้องรีบเอามาใช้) ทางเลือกในการลงทุนของคุณจะเหลือน้อยลงมาก
เพราะการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดี มักมาพร้อมความผันผวนที่สูงด้วย
ถ้าคุณไปซื้อหุ้นตัวนึงราคา 10 บาท คุณรู้ว่าราคาจะขึ้นไป 30 บาทแน่นอน คุณจึงเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวนี้เต็มที่ ถึงแม้เงินก้อนนี้จะต้องใช้ในอีก 7 เดือนข้างหน้า
เวลาผ่านไป 6 เดือน ราคาร่วงมาเหลือ 6 บาท แต่คุณต้องรีบใช้เงินก้อนนี้ คุณจึงถูกบังคับขายในราคาขาดทุน
ต่อมา เวลาผ่านไปอีก 5 เดือน ราคาขึ้นมาเป็น 30 บาทตามที่คุณคิดไว้จริง ถึงตอนนั้นคุณก็ขาดทุนไปแล้ว เพราะคุณถูกความผันผวนบังคับให้ขายไปในเวลาที่คุณไม่ต้องการ
ดังนั้น ถ้าเงินของคุณไม่ใช่เงินเย็น คุณควรซื้อแค่ตราสารหนี้หรือฝากธนาคารเท่านั้น คุณจะเริ่มลงทุนแบบอื่นได้เมื่อคุณนำเงินที่ไม่จำเป็นต้องรีบมาใช้เร็วๆ นี้มาลงทุน
-
ข้อสอง ผลตอบแทนที่สูงมาพร้อมความทุ่มเท
การลงทุนไม่ต่างจากสไปเดอร์แมน พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง
ยิ่งคุณอยากได้ผลตอบแทนสูงแค่ไหน คุณยิ่งต้องทุ่มเทเวลาในการศึกษาสิ่งนั้น
ถ้าคุณอยากลงทุนโดยที่มีเวลาไม่มาก คุณควรเลือกการลงทุนที่เสี่ยงต่ำ ใช้เวลาน้อย แต่ก็จะได้ผลตอบแทนน้อยลง ผมขอแนะนำการลงทุน 3 ชนิดนี้ครับ
- ลงทุนหุ้นปันผล (มาลองดูหลัก 4 ข้อในการลงทุนหุ้นปันผลให้ไม่ขาดทุน)
- ลงทุนหุ้น VI (คุณอาจศึกษา หลักการลงทุนแบบ VI เพื่อสร้างความมั่งคั่ง)
- ลงทุนกองทุนรวม
แต่ถ้าคุณพร้อมทุ่มเทเวลาให้การลงทุน คุณจะมีโอกาสทำกำไรได้สูงมาก เงินหลักร้อยล้านก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับฝีมือของคุณ
-
ข้อสาม ผลตอบแทนมาพร้อมความเสี่ยงที่สูงขึ้น
คุณรับได้ไหมถ้าลงทุนบิทคอยน์แล้วขาดทุน 20% ภายในเวลา 4 วัน?
หุ้นบางตัวแกว่งขึ้นลงวันละ 5% คุณพร้อมไหมถ้ามันแกว่งลงติดกันสองวันแล้วคุณขาดทุน 10% โดยไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะลงต่อหรือเปล่า?
ยิ่งคุณยอมรับความเสี่ยงได้มาก คุณยิ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูง โดยทั่วไปการลงทุนแต่ละชนิดมีความเสี่ยงและผลตอบแทนดังนี้ครับ
แต่มีข้อควรระวัง!!!! ถึงคุณจะลงทุนแบบเสี่ยง ก็ไม่จำเป็นเสมอไปที่คุณจะได้กำไรนะครับ
การลงทุนไม่มีคำว่าปรานี ไม่มีใครเอาเงินมาให้คุณง่ายๆ ไม่มีใครรับประกันว่าคุณเสี่ยงแล้วจะรวย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝีมือ ความรู้ และความทุ่มเท
และยิ่งคุณลงทุนแบบที่เสี่ยงขึ้น คุณอาจได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะลงทุน ต้องศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อนนะครับ
เราต้องหาความรู้ก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะลงทุนให้ดีไม่ได้
ความรู้ที่ครอบคลุมที่สุดในการลงทุนมักอยู่ในหนังสือ เพราะหนังสือเป็นช่องทางที่เราจะเข้าถึงแนวคิดในการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำของโลกได้ง่ายที่สุด ไม่มีนักลงทุนระดับโลกคนไหนจะมาอธิบายเทคนิคของตัวเองอย่างละเอียดในยูทูป แต่ถ้าเขาอยากถ่ายทอดจริงๆ เขามักเขียนเป็นหนังสือไปเลย
ที่จริงนักลงทุนไทยเก่งๆ ก็เรียนรู้แนวคิดของนักลงทุนชั้นนำในโลกจากหนังสือนี่แหละครับ ผมกล้าบอกเลยว่านักลงทุนไทยทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนอ่านหนังสือมาเยอะมาก
คนที่ไม่รู้จะเริ่มอ่านจากไหน ผมได้สรุปหนังสือลงทุนดีๆ ที่ควรอ่าน ให้คุณแล้วครับ
แต่ปัญหาของหลายๆ คนคือ หนังสือแต่ละเล่มนั้นใช้เวลาอ่านเยอะ แถมทำความเข้าใจยาก อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง กว่าจะอ่านครบแล้วเชื่อมโยงแต่ละเล่มเข้าด้วยกันก็กินเวลานาน (เล่มนึงบางทีอ่านเป็นสัปดาห์ เล่มหนาๆ ก็เป็นเดือน)
แนวคิดบางอย่างก็อยู่ในบริบทของต่างประเทศและเกิดขึ้นมาเมื่อหลายสิบปีก่อน จึงยากที่จะทำความเข้าใจ บิงโกจึงมีคอร์สลงทุนที่ช่วยเรียบเรียงลำดับความคิดเรื่องการลงทุนทั้งหมดให้คุณ ดูรายละเอียดคอร์สด้านล่างได้เลยครับ
เมื่อเรามีความรู้เพียงพอ เราก็ต้องเลือกต่อนะครับว่าจะลงทุนอะไรในสัดส่วนเท่าไร
1. ลงทุนหุ้นปันผล
ขอให้คุณคิดถึงชีวิตที่ได้ทุกสิ่งที่ต้องการ คุณมีเงินเพียงพอที่จะทำอะไรก็ได้ ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ ซื้ออะไรก็ได้ ตอนเช้าตื่นมาจิบกาแฟนั่งเล่น ไปเดินห้างในวันธรรมดา และมีความสุขกับคนที่คุณรัก เพราะการลงทุนของคุณสร้างรายได้มาให้คุณใช้ทุกเดือน
สิ่งเหล่านี้เป็นจริงได้เมื่อคุณมี หุ้นปันผล ซึ่งจ่าย เงินปันผล ให้คุณอย่างสม่ำเสมอ
นักลงทุนหุ้นปันผลไม่ได้ซื้อหุ้นเพราะอยากได้ผลตอบแทนที่สูง แต่ซื้อหุ้นเพราะต้องการเงินปันผลที่สม่ำเสมอ เพื่อนำมาใช้จ่าย มีไลฟ์สไตล์แบบที่ชอบ
ถ้าคุณอยากได้ผลตอบแทนสูง คุณไม่ควรดูหุ้นปันผล ลองไปดูเทคนิคหาหุ้น 10 เด้งที่ราคาขึ้นมา 10 เท่าจะเหมาะกว่าครับ
หุ้นปันผลเหมาะกับคุณถ้า…
- คุณเกษียณแล้ว อยากได้เงินปันผลมากินมาใช้
- คุณมีเงินก้อนหนึ่ง อยากลงทุนโดยเสี่ยงน้อย ได้กำไรพอสมควร
- คุณเพิ่งหัดลงทุน อยากเริ่มลงทุนโดยไม่เสี่ยงมาก
- คุณลงทุนหุ้นตัวอื่นที่โตเร็วหวือหวาอยู่แล้ว อยากแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาลดความผันผวนของพอร์ต
หุ้นปันผลไม่เหมาะกับคุณถ้า…
- คุณมีรายได้ทางอื่นอยู่แล้ว ไม่ได้อยากได้เงินปันผลมากินมาใช้
- คุณอยากสร้างความมั่งคั่งให้เร็วที่สุด
- คุณรับความเสี่ยงได้ อยากลงทุนหุ้นที่มีอนาคตไกลมากกว่านี้
หุ้นปันผลเป็นเส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน ซึ่งจะเสกเงินเข้ากระเป๋าคุณอย่างสม่ำเสมอ ให้นำไปคุณใช้จ่ายหรือลงทุนต่อโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
แต่มีสิ่งที่ต้องระวัง หลายคนซื้อหุ้นปันผลโดยหวังว่ามันจะเป็นหลักประกันให้ชีวิต ผลิตเงินให้เราใช้ไปตลอด
…แต่กลับมาดูอีกที ราคาหุ้นก็เริ่มร่วงลงไปไม่หยุด
…บริษัทเริ่มมีปัญหา จากนั้นก็จ่ายเงินปันผลน้อยลง
…เงินปันผลที่เคยได้ก็ค่อยๆ แห้งไปจนไม่เหลือ
…หุ้นที่คุณคิดจะฝากชีวิตไว้กลับกลายเป็นหุ้นเน่า เหลือไว้แต่ความทรงจำดีๆ กับราคาหุ้นที่ดิ่งเหวไปแล้ว -40%
ก่อนจะลงทุนหุ้นปันผล บิงโกจึงมีหลัก 4 ข้อในการลงทุนหุ้นปันผลให้คุณอ่าน เพื่อให้คุณลงทุนหุ้นปันผลได้อย่างปลอดภัยครับ
2. ลงทุนหุ้น VI
ในบรรดาการลงทุนทุกสไตล์ การลงทุนแนวเน้นคุณค่า หรือที่เรียกว่า VI หรือ Value Investing เป็นแนวทางที่คนนิยมมากที่สุดในโลก
วิธีลงทุนแบบ VI จะเริ่มจากมองการซื้อหุ้นเหมือนซื้อธุรกิจ คุณต้องประเมินมูลค่าธุรกิจให้ได้ก่อน จากนั้นก็ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า
ถ้าคุณลงทุนอย่างถูกต้อง การลงทุน VI จะมีความเสี่ยงต่ำ เพราะคุณซื้อหุ้นในราคาไม่แพง คุณจึงขาดทุนได้ยาก และทำกำไรได้อย่างมั่นคงสม่ำเสมอ
นักลงทุนเก่งๆ หลายคนทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, และดร.นิเวศน์ ก็ลงทุนแบบ VI และประสบความสำเร็จอย่างสูง ซึ่งผมได้สอนแนวทางลงทุนของนักลงทุนเก่งๆ เหล่านี้ให้คุณทั้งหมดในคอร์สลงทุนบิงโก (สอนตั้งแต่พื้นฐานจนลงทุนเก่ง) ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งไปได้ตลอดชีวิต
ข้อดีของ VI
- ใช้เหตุผลมากกว่าการลงทุนอื่น คุณซื้อหุ้นเหมือนซื้อธุรกิจ
- เสี่ยงน้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนหุ้นแบบอื่น
- ถ้าคุณลงทุนได้ดี จะรวยช้าแต่ชัวร์
ข้อเสียของ VI
- ใช้ความรู้เยอะ คุณต้องรอบรู้และติดตามข่าวสารตลอด
- รวยช้า ทดสอบความอดทนอย่างยิ่ง
- ปวดใจ เพราะคุณมักถือหุ้นยาว จึงมีบางช่วงที่หุ้นลง คุณดูราคาแล้วก็จะปวดใจ
- มีความยากในการวิเคราะห์ธุรกิจ จึงไม่เหมาะกับทุกคน
- ไม่มีกลยุทธ์ถอย กว่าคุณจะรู้ตัวว่าลงทุนพลาด ก็ขาดทุนไปพอสมควรแล้ว
3. ลงทุนหุ้นต่างประเทศ
ในอดีต เศรษฐกิจไทยเติบโตโดยอาศัยแรงงานราคาถูก ทำงานที่คนในประเทศพัฒนาแล้วเขาไม่อยากทำ หรือไม่ก็ขุดแร่ขาย ตัดต้นไม้ขาย
คนไทยเย็บผ้า แกะเปลือกกุ้ง ประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ ขายไก่ย่างริมทะเล ทำโรงแรมริมหาด และทำการเกษตร… แต่ผมขอให้คุณลองสังเกตดูว่า เกือบทุกอย่างที่ไทยส่งออก มาจากแรงงานไร้ฝีมือหรือการขายทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น
แต่มาถึงวันนี้ คนไทยเกิดน้อยลง ค่าแรงไทยไม่ได้ถูกอีกต่อไป ประเทศกำลังจะกลายเป็นสังคมสูงอายุ ในขณะที่คนไทยรุ่นใหม่เรียนจบสูง ไม่มีใครอยากกลับไปขายแรงงานเหมือนรุ่นพ่อแม่ ทุกคนอยากเป็นผู้จัดการ ทำงานใช้ความรู้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างสรรค์สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นได้
สรุปคือ คนไทยจำนวนน้อยลง คนรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานแรงงานที่สร้างชาติมาในอดีต แต่ก็ไม่สามารถขยับไปทำสิ่งที่ใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น
ประเทศไทยจึงติดหล่ม จะให้กลับไปเย็บผ้าก็ไม่อยาก แต่จะให้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า คิดค้นยา หรือทำหุ่นยนต์มาแข่งกับประเทศอื่นก็ทำไม่ไหว ได้แต่หวังว่าจะรวยขึ้นโดยทำสิ่งเดิมๆ ที่เคยทำมาในอดีตต่อไป
ในฐานะคนไทย คุณอาจเป็นห่วง แต่ในฐานะนักลงทุน คุณสามารถไปลงทุนในประเทศอื่นที่มีโอกาสดีๆ มากกว่านี้ได้
จีนกำลังจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ เวียดนามกำลังเร่งพัฒนาเศรษฐกิจ และอเมริกาก็ยังคิดค้นนวัตกรรมอยู่ตลอดเวลา ในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกากับจีน คุณจะสามารถลงทุนใน “หุ้นแห่งอนาคต” ที่กำลังจะเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Big Data รถยนต์ไฟฟ้า ชิป AI คลาวด์คอมพิวติ้ง IOT ฯลฯ (มาดูกันว่าเทรนด์โลกจะไปทางไหน จะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ บ้าง)
ขอแค่คุณลงทุนในประเทศที่อนาคตไกลเหล่านี้ คุณก็สามารถมีส่วนร่วมในความมั่งคั่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
คนที่สนใจการลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกา ผมได้สรุปกลยุทธ์ลงทุนหุ้นต่างประเทศให้คุณไว้แล้ว เข้าไปอ่านได้เลยครับ ส่วนคนที่ไม่อยากซื้อหุ้นเอง แต่อยากลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุน ลองอ่านวิธีซื้อกองทุนต่างประเทศ ให้กำไรมากขึ้น 100% ดูครับ
ข้อดีของหุ้นต่างประเทศ
- มีโอกาสในการลงทุนหุ้นแห่งอนาคตเยอะมาก
- ต่อให้ไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยี ธุรกิจอเมริกันกับจีนจะขยายไปได้ทั่วโลก เหมือนสตาร์บัคส์ที่ขายได้ทั่วโลก ต่างจากกาแฟดอยคำที่ขายแค่คนท้องถิ่น
- เป็นการกระจายความเสี่ยง ในกรณีที่เศรษฐกิจไทยประสบปัญหา ซบเซายาวนาน
ข้อเสียของหุ้นต่างประเทศ
- ข้อมูลข่าวสารเป็นภาษาอังกฤษหรือจีน
- หุ้นต่างประเทศผันผวนสูงมาก ราคาขึ้นลงได้รุนแรง จึงต้องใช้ความรู้ในการลงทุนมากกว่า
- เราอาจเข้าใจเศรษฐกิจต่างประเทศได้ไม่ดีเท่าเศรษฐกิจไทย จึงมีความเสี่ยงสูงกว่า
4. ลงทุน Super Stocks หุ้น 10 เด้ง
ทุกคนอยากซื้อหุ้นแล้วราคาขึ้นไป 10 หรือ 100 เท่า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าหุ้น 10 เด้ง หรือ Super Stocks
นักลงทุนแทบทุกคนมีความฝันว่าสักวันจะเจอหุ้น 10 เด้ง เพราะขอแค่คุณมีหุ้น 10 เด้งตัวเดียว ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่อง
หุ้น 10 เด้งคือตัวที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณมากที่สุด ขอแค่คุณได้ 10 เด้งสักสามครั้ง เงินลงทุน 1 ล้านบาทของคุณจะโตเป็น 1000 ล้าน
แต่ไม่ใช่ว่าหุ้น 10 เด้งจะหาเจอกันง่ายๆ หรือบางครั้งต่อให้เราหาเจอ ตอนเราถืออยู่ราคามันไม่ไปไหน พอเราขายมันกลับขึ้นทีเดียว 10 เท่าก็ได้ หุ้นชนิดนี้จึงหายากพอสมควร แต่ก็มีหลักการบางอย่างที่เราจะหาหุ้นตัวนี้ได้ ซึ่งผมได้สรุปเป็น 7 สิ่งที่ต้องดู เมื่ออยากหาหุ้น 10 เด้งหรือ Super Stock
ข้อดีของหุ้น 10 เด้ง
- ถ้าหาเจอจะรวยมาก
- ปกติถ้าหาเจอ เราจะถือไว้เฉยๆ แล้วปล่อยให้ราคาขึ้นไปเอง จึงไม่ต้องมีการซื้อขายบ่อย สบาย ไม่เหนื่อย
- ใช้หลักการหาคล้ายการลงทุนแบบ VI บางครั้งเราจึงเจอโดยบังเอิญจากการลงทุนแนว VI
ข้อเสียของหุ้น 10 เด้ง
- บางตัวระหว่างราคาขึ้นจะผันผวนสูง ทำให้เราคาดเดาได้ยากว่าจะ 10 เด้งจริงไหม
- หุ้นที่เราคาดว่าจะ 10 เด้ง อาจไม่เป็นเช่นนั้น เราอาจเสียเวลาในการถือหุ้นผิดตัว และขาดทุนได้
- หุ้นที่มีโอกาส 10 เด้ง นักลงทุนคนอื่นก็มักมองเห็นเหมือนกัน เวลาคุณซื้อจึงมักต้องซื้อในราคาสูง และถ้าผิดตัว ราคาจะลงมาแรงได้
- มีความยากในการวิเคราะห์ธุรกิจ จึงไม่เหมาะกับทุกคน
เรียนคอร์สลงทุน “นักลงทุนมือหนึ่งของโลก”
อยากศึกษาเรื่องการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?
บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ สอนตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นสูง เรียนจบพร้อมลงทุนจริงได้เลย เหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง”และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว
5. ลงทุนคริปโตและบิทคอยน์
“คริปโต” และ “บิทคอยน์” คือการลงทุนที่โด่งดังที่สุดในปัจจุบัน โดยทั้งสองคำนี้ใช้อธิบายเงินดิจิทัลที่มีอยู่หลายร้อยชนิด
เราเรียกเงินดิจิทัลทั้งหมดรวมๆ ว่า “คริปโต” และคริปโตที่โด่งดังมากที่สุดคือ “บิทคอยน์”
คนส่วนใหญ่จะซื้อบิทคอยน์เป็นหลัก แต่บางคนก็ไปซื้อเงินดิจิทัล (คริปโต) ชนิดอื่นๆ ไว้ด้วย รายละเอียดเรื่องคริปโตและบิทคอยน์ ผมสรุปไว้ให้แล้วครับ
บิทคอยน์เป็นสิ่งที่มีทั้งคนรักและคนเกลียด บางคนเชื่อว่ามันจะกลายเป็นเงินแห่งอนาคต และราคาจะสูงขึ้นไปอีก 10 เท่า แต่บางคนฟันธงว่าบิทคอยน์คือแชร์ลูกโซ่ระดับโลกที่สุดท้ายราคาจะกลายเป็น 0
ด้วยความที่มีสองฝ่ายที่เชื่อต่างกันอย่างมาก ราคาบิทคอยน์จึงผันผวนแรง บางทีราคาก็ขึ้นไปเป็นเท่าๆ ในเวลาเดือนเดียว บางทีก็ร่วงลงมาเกินครึ่งในสองสัปดาห์ การลงทุนบิทคอยน์จึงเสี่ยงสูง มีโอกาสกำไรเยอะ และขาดทุนเยอะมาก คนที่จะลงทุนบิทคอยน์ต้องรับความเสี่ยงที่สูงได้ และพร้อมขาดทุนหนักถ้าผลออกมาผิดจากที่คาดไว้
เหตุผลที่คุณควรซื้อบิทคอยน์…
- บิทคอยน์เป็นเงินที่ไม่มีใครคุม จึงไม่มีรัฐบาลไหน “พิมพ์เงินบิทคอยน์” ได้ ต่างจากเงินบาทหรือดอลลาร์ ที่รัฐบาลจะพิมพ์แค่ไหนก็ได้
- บิทคอยน์กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมีคนใช้มากขึ้น ราคาก็ย่อมสูงขึ้นตามธรรมชาติ
- บิทคอยน์เป็นเทคโนโลยีใหม่ จึงมีคนเชื่อมั่นเยอะ ยิ่งมีคนเชื่อมาก ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นง่าย
…และเหตุผลที่คุณไม่ควรซื้อบิทคอยน์
- การลงทุนบิทคอยน์ เท่ากับว่าเงินของคุณติดอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ไปลงทุนอย่างอื่น คุณกำลังมีค่าเสียโอกาสที่จะลงทุนหุ้นดีๆ หรือหาหุ้น 10 เด้ง (Super Stock) นึกดูว่ามีใคร “ลงทุนเงินบาท” โดยเอาเงินไปฝากธนาคาร แล้วจะได้ผลตอบแทนสูงบ้าง?
- โดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่บิทคอยน์เหนือกว่าเงินดอลลาร์หรือเงินบาท เพราะมันก็เป็น “เงิน” เหมือนกัน แต่บิทคอยน์เท่กว่า เพราะมันใหม่กว่า นี่จึงเป็นการเก็งกำไรชัดๆ
- ทุกสิ่งที่เป็นที่นิยมมากขึ้น ย่อมต้องมีวันเสื่อมความนิยม เมื่อใดที่คนสนใจบิทคอยน์น้อยลง ราคาก็จะลงในที่สุด และเมื่อใดที่ปาร์ตี้เลิกรา บิทคอยน์ย่อมกลายเป็น 0
6. ลงทุนกองทุนรวม
ถ้าคุณคิดว่าจะลงทุนอะไรดี แล้วไม่มั่นใจว่าจะลงทุนเองได้ดี เราก็มีทางเลือกในการซื้อกองทุนครับ
กองทุนรวมเป็นการที่เราเอาเงินของเราไปให้คนอื่นบริหารให้ แล้วเขาก็จะเอาเงินนั้นไปลงทุนตามที่ตกลงกันไว้
กองทุนรวมมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับว่าเขาเอาเงินเราไปซื้ออะไร
- กองทุนหุ้นก็ไปซื้อหุ้น
- กองทุนตราสารหนี้ก็ไปซื้อตราสารหนี้
- กองทุนทองคำก็ไปซื้อทองคำ
ผลตอบแทนของกองทุนจะขึ้นอยู่กับว่าเขาไปซื้ออะไร เช่น ถ้าเป็นกองทุนหุ้น ก็จะให้ผลตอบแทนคล้ายหุ้น แต่กองทุนจะให้ผลตอบแทนแถว “ค่าเฉลี่ย” นั่นคือ คุณจะได้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าเซียนหุ้นที่เก่งมากๆ แต่จะได้ประมาณค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นแทน
กองทุนมักลงทุนแบบเสี่ยงต่ำ และมีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ ดังนั้น ในระยะยาว (ถือยาว 7 ปี+) คนที่ซื้อกองทุนจะมีโอกาสขาดทุนน้อยมากๆ (กำไรแทบจะทุกคน) แต่จะกำไรมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกองทุนที่คุณซื้อ คนที่อยากรู้วิธีเลือกซื้อกองทุน สามารถอ่านเคล็ดลับเลือก “กองทุนรวม” แบบเจาะลึกเพิ่มได้เลยครับ
ในระยะสั้น (ไม่กี่เดือน หรือ 1-2 ปี) กองทุนอาจขาดทุนได้ เพราะถ้าตลาดหุ้นลง กองทุนหุ้นก็จะลงตามตลาดหุ้นไปด้วย เงินที่จะซื้อกองทุนจึงควรเป็นเงินเย็นที่ไม่รีบใช้
บางคนสนใจลงทุนกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะเชื่อว่าต่างประเทศมีโอกาสที่ดีกว่าไทย ลองอ่านวิธีซื้อกองทุนต่างประเทศ ให้กำไรมากขึ้น 100% ดูครับ
กองทุนรวมเหมาะกับคนที่…
- ไม่อยากติดตามข่าวสาร ไม่มีเวลาดูแลการลงทุนของตัวเอง
- ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะลงทุนเองได้ดี
- ยอมรับผลตอบแทนที่ไม่สูงมากได้ ยอมอยู่แถวค่าเฉลี่ยก็พอ
กองทุนรวมไม่เหมาะกับคนที่…
- อยากรวยมากๆ เร็วๆ
- มีความรู้ทางการลงทุน สามารถลงทุนเองได้ดี
- พร้อมทุ่มเทเวลาในการบริหารเงิน และสร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเอง
7. ลงทุนตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้นกู้
ตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้นกู้ ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นกลุ่มเดียวกันครับ
มันคือการที่รัฐบาลหรือบริษัทเอกชนกู้เงินจากนักลงทุนโดยตรง โดยไม่ผ่านธนาคาร (เขาจะกู้ได้ดอกเบี้ยต่ำลง เพราะตัดตัวกลาง)
เวลาลงทุน คุณก็เอาเงินไปให้คนกู้ แล้วเขาจะให้ “เอกสารการเป็นเจ้าหนี้” หรือ “ตราสารหนี้” กับคุณ เป็นหลักประกันว่าเขาจะจ่ายดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นคืนคุณ
ตราสารหนี้เป็นคำเรียกรวมๆ ซึ่งแบ่งย่อยได้ 2 แบบครับ
- คนกู้เป็นรัฐ เรียกว่า พันธบัตร
- คนกู้เป็นบริษัทเอกชน เรียกว่า หุ้นกู้
ตราสารหนี้ถือเป็นการลงทุนที่เสี่ยงต่ำที่สุดแล้วครับ ราคาจะขึ้นลงไม่แรง และคุณจะได้ดอกเบี้ยสม่ำเสมอ ความเสี่ยงหลักคือการที่คนกู้ล้มละลาย ซึ่งจะทำให้เขาไม่จ่ายคุณทั้งต้นทั้งดอก เงินลงทุนของคุณก็จะกลายเป็น 0
ปกติรัฐบาลมักไม่ล้มละลายง่ายๆ ทำให้พันธบัตรเป็นการลงทุนที่เสี่ยงน้อยกว่าหุ้นกู้ครับ ดอกเบี้ยจากพันธบัตรจึงน้อยกว่าหุ้นกู้นิดหน่อย (พันธบัตร = เสี่ยงน้อย ดอกเบี้ยน้อย, หุ้นกู้ = เสี่ยงขึ้นนิดนึง ดอกเบี้ยสูงขึ้น)
คุณควรซื้อตราสารหนี้เมื่อ…
- มีเงินเหลือ และยังไม่อยากใช้เงินก้อนนี้ไปลงทุนอย่างอื่น จึงซื้อตราสารหนี้เพื่อพักเงินไว้
- มีการลงทุนอื่นที่ผันผวนอยู่แล้ว จึงแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาซื้อตราสารหนี้บ้าง
- อยากลงทุนแบบเสี่ยงน้อย ไม่พร้อมลงทุนอย่างอื่นเลย จึงเลือกตราสารหนี้ที่เสี่ยงน้อยที่สุด
- เกษียณมีเงินก้อนหนึ่ง อยากได้ดอกเบี้ยมาใช้จ่าย
คุณไม่ควรซื้อตราสารหนี้เมื่อ…
- อยากรวยมากๆ เร็วๆ
- มีความรู้ทางการลงทุน สามารถลงทุนอย่างอื่นเองได้ดี
- พร้อมทุ่มเทเวลาในการบริหารเงิน และสร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเอง
8. ลงทุนทองคำ
ทองคำเป็นโลหะมีค่าที่อยู่คู่ประวัติศาสตร์มนุษย์มานับพันปี
- นักลงทุนบางคนชอบซื้อทองคำเก็บไว้ เพราะทองคำได้ชื่อว่าเป็น “Safe Haven” หรือ “สรวงสรรค์ที่ปลอดภัย” เวลาตลาดหุ้นตก ทองคำมักจะราคาขึ้นสวน การมีทองคำไว้บ้างจึงช่วยคุณได้เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
- แต่นักลงทุนบางคนไม่ชอบทองคำ เพราะโดยตัวมันเอง ทองคำไม่มีค่าอะไร เป็นแค่ก้อนเหลืองๆ ที่เก็บไว้แล้วฝุ่นขึ้น
การลงทุนทองคำจึงขึ้นอยู่กับมุมมอง ขึ้นอยู่กับว่าคุณสนใจความเป็น “Safe Haven” แค่ไหน และคุณมองว่าทองคำมีคุณค่าในตัวเองแค่ไหนด้วย
ผมพูดถึงทองคำอย่างละเอียดไว้แล้วใน ทองคำ สวรรค์อันปลอดภัย หรือก้อนโลหะไร้ประโยชน์? ถ้าคุณชอบทองคำ ก็อาจมีทองคำเก็บไว้จำนวนเล็กน้อย เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่ซื้อเลยก็ได้ครับ
9. ลงทุนอสังหาริมทรัพย์
ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโด ฯลฯ
การลงทุนอสังหาฯ มี 2 กลยุทธ์หลักครับ
- ซื้อที่ดินเก็บไว้หลายปี แล้วขายทำกำไรรวดเดียว
- ซื้อตึกมาปล่อยเช่า ให้คนมาอาศัยหรือทำการค้า
อสังหาริมทรัพย์เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงรองจากหุ้น เพราะคุณซื้อมาแล้วราคาอาจไม่ขึ้นอย่างที่คิด หรืออาจปล่อยเช่าไม่ได้ ยิ่งถ้าบางคนกู้เงินมาซื้อแล้วปล่อยเช่าไม่ได้ คุณอาจขาดทุนหนักได้
แต่ความเสี่ยงมาพร้อมโอกาส ผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์สามารถสูงได้มากที่สุดรองจากหุ้นครับ
ผมได้เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของอสังหา vs หุ้นไว้แล้ว ลองดูได้ครับ
10. ลงทุนทำธุรกิจ
การทำธุรกิจคือการลงทุนที่ยากที่สุด
เพราะไม่ใช่ว่าคุณได้กำไรแล้วจะถือว่า “ประสบความสำเร็จ” ยังมีอีกหลายจุดที่คุณต้องคิดเวลาจะทำธุรกิจครับ
ข้อแรก อย่าลืมคุณไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อให้อยู่ได้แค่ปีนี้หรือปีหน้า ทุกคนที่เริ่มธุรกิจย่อมหวังว่ามันจะอยู่รอดไปอีก 10 ปีข้างหน้า และขยายกิจการได้ใหญ่ขึ้น ถ้าคุณทำธุรกิจแล้วอยู่รอดไปวันๆ เป็นซอมบี้ที่ไม่ตายแต่ก็ไม่โต แบบนั้นไม่เท่ากับว่าคุณผิดเป้าหมายในการทำธุรกิจแต่ต้นเหรอ?
ข้อสอง คุณต้องคิดรายได้เทียบกับงานประจำด้วย หลายคนลาออกจากงานประจำมาขายของหรือทำธุรกิจส่วนตัว แต่เขากลับพบว่ารายได้จากธุรกิจนั้นน้อยกว่าที่เคยได้จากการทำงาน ในเมื่อคุณเหนื่อยกว่า คุณก็ต้องคาดหวังรายได้ที่สูงขึ้นด้วย
ข้อสุดท้าย คุณต้องไม่สับสนระหว่างธุรกิจกับการจ้างตัวเอง บางคนอยากมีอิสระ ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร จึงลาออกมาขายของออนไลน์ แต่คนขายของก็มีสิ่งที่ต้องทำทุกวัน… ต้องสั่งสินค้า ต้องแพ็คของ ต้องส่งของ คอยบริหารสต็อก คอยติดตามตลาด ตอบแชทลูกค้า ฯลฯ ถ้าคุณติดอยู่กับการทำสิ่งเหล่านี้ทั้งวัน มันก็ไม่ใช่ธุรกิจ แต่เป็น “งานประจำ” ที่หัวหน้าของคุณคือลูกค้า เมื่อไรที่ลูกค้าไม่พอใจ เขาก็ “ไล่คุณออก” ได้เหมือนหัวหน้าในบริษัทใหญ่
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ “สร้างระบบ” ที่ฟันเฟืองหมุนไปได้โดยเขาไม่ต้องเข้าไปดูแลวันต่อวัน ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น คุณก็ยังไม่ใช่เจ้าของธุรกิจ แต่เป็นลูกจ้างของตัวเองต่างหาก และการลงทุนนี้ก็จะเป็นแค่การ “ซื้องานประจำให้ตัวเอง” เหมือนคนที่ซื้อแฟรนไชส์มาแล้วพบว่าตัวเขาก็ต้องตื่นมาทำงานทุกวันเหมือนงานบริษัทนั่นเอง
คนที่สนใจเรื่องการทำธุรกิจ บิงโกมีสรุป E-Myth Revisted เรื่องสำคัญที่นักธุรกิจมือใหม่ต้องรู้ไว้แล้วครับ เข้าไปอ่านกันได้เลย! และสำหรับคนที่อยากรู้เกี่ยวกับสตาร์ทอัพโดยเฉพาะ ลองเข้ามาอ่านสรุปหนังสือ The Lean Startup ของเจ้าพ่อสตาร์ทอัพ ปีเตอร์ ธีล กันดีกว่าครับ
มือใหม่เริ่มต้นลงทุนได้ง่ายๆ วันนี้
ถ้าคุณเพิ่งหัดเริ่มต้นลงทุน หรือกำลังสนใจอยากเริ่ม คุณสามารถอ่านขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมสรุปไว้ให้แล้วได้เลยครับ
นอกจากนี้ คนที่อยากรู้วิธีลงทุนดีๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ลึกซึ้งทุกประเด็น บิงโกมีคอร์สลงทุนดีๆ ซึ่งจะสอนวิธีลงทุนอย่างละเอียด (สอนตั้งแต่พื้นฐานจนลงทุนเก่ง) ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งไปได้ตลอดชีวิต
อยากเริ่มต้นลงทุนแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง?
อยากศึกษาเรื่องการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?
บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูง เรียนจบพร้อมลงทุนจริงได้เลย เหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” โดยใช้วิธีของนักลงทุนชั้นนำทั่วโลกมาสอนคุณ ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, เบนจามิน เกรแฮม และอื่นๆ ซึ่งจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว