เมื่อเราคิดถึงการลงทุน สิ่งแรกๆ ที่เราจะนึกถึงก็คือซื้อ “กองทุน” ซึ่งเปรียบเสมือน “ม้า” ที่จะพาคุณไปถึงเส้นชัยหรือเป้าหมายที่ต้องการ
ถ้าคุณขี่ม้าแข็งแรงพันธุ์ดี คุณก็เดินทางได้ไกล ไปถึงจุดมุ่งหมายได้ไกลตามที่ใฝ่ฝัน แต่ถ้าม้าของคุณเจ็บป่วยเชื่องช้า มันอาจหมดแรงตั้งแต่อยู่หน้าปากซอย
วันนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีเลือกซื้อกองทุนอย่างละเอียด เพื่อให้เงินที่คุณหามาอย่างยากลำบากไปอยู่ในที่ที่จะสร้างโอกาสให้คุณมากที่สุด
มาดูวิธีเลือกกองทุนกันดีกว่าครับ
1. กองทุนมีหลายชนิด คุณควรแบ่งเงินลงทุนให้เหมาะกับต้วเอง
ไม่มีกองทุนไหนที่เหมาะกับทุกคน ก่อนจะซื้อกองทุนคุณจึงต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าเราเหมาะกับกองทุนแบบไหน
ชนิดของกองทุน จะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขานำเงินไปลงทุนครับ
- กองทุนหุ้นไทย นำเงินไปซื้อหุ้นไทย
- กองทุนหุ้นต่างประเทศ นำเงินไปซื้อหุ้นต่างประเทศ
- กองทุนตราสารหนี้ นำเงินไปซื้อตราสารหนี้
- กองทุนทองคำ นำเงินไปซื้อทองคำ
- กองทุนผสม นำเงินไปซื้อหลายอย่างผสมกัน
เนื่องจากกองทุนแต่ละชนิดลงทุนต่างกัน มันจึงมีผลตอบแทนและความผันผวนต่างกันด้วย ดังนี้ครับ
พอเห็นแบบนี้ คุณจะพบว่ามันมีกองทุนหลากหลายชนิด ดูแล้วตาลายพอสมควร แล้วเราจะเลือกยังไงดีล่ะ? โดยทั่วไปมี 3 เรื่องที่คุณต้องดูครับ
- ผลตอบแทน กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงมักลงทุนใน หุ้น และยิ่งเขาเน้นหุ้นที่มีการเติบโต มีนวัตกรรม ก็ยิ่งให้ผลตอบแทนได้สูง แต่ในทางกลับกัน กองทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำจะลงทุนใน ตราสารหนี้ ซึ่งไม่มีนวัตกรรม ไม่มีการเติบโต เน้นลงทุนไปเรื่อยๆ เพื่อกินดอกเบี้ยทีละนิดๆ
- ความผันผวน ข้อนี้คือการที่มูลค่ากองทุนที่เราซื้อไป มีขึ้นมีลงอย่างรุนแรงแค่ไหนก่อนจะโตไปถึงผลตอบแทนสุดท้าย เช่น กองทุนหุ้นมักมีความผันผวนสูง สมมุติถ้าคุณซื้อกองทุนหุ้นด้วยเงิน 100 พอเวลาผ่านไป 30 ปีมันจะขึ้นมาเป็น 1500 แต่ระหว่างทางมันจะไม่ได้ขึ้นสวยๆ มันจะมีซิกแซก ขึ้นบ้างลงบ้าง เช่น 100 → 60 → 110 → 60 → 100 → 80 → 160 → 110 → 140 → … → 1500
- สังเกตว่าสุดท้ายกองทุนหุ้นของคุณมันเปลี่ยนจาก 100 ไป 1500 แต่ระหว่างทางมันขรุขระและชวนหวาดเสียว ดังนั้น ถ้าคุณซื้อกองทุนหุ้น ก็จะมีบางครั้งที่คุณเห็นมันราคาลง และบางครั้งก็ราคาขึ้นกลับมา เป็นการเดินทางที่ชวนตื่นเต้นต่างจากกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายราคาจะขึ้นไม่สูงเท่าหุ้น
- ความผันผวนสำคัญอย่างไร? ตรงนี้ต้องบอกว่า “แล้วแต่คน” ว่าคุณสนใจแค่เป้าหมายสุดท้ายหรือสนใจระหว่างทาง ถ้าคุณสนใจแค่ผลลัพธ์สุดท้าย (อีก 30 ปีไปถึง 1500) คุณก็ไม่ต้องแแคร์ความผันผวนเลย แต่ถ้าคุณสนใจระหว่างทาง (แวะไป 60 หรือ 80 ก่อนจะขึ้นไป 1500) คุณอาจสนใจความผันผวน และไม่นำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสิ่งที่ผันผวนสูง
- ข้อเสีย 1 ของความผันผวน ทำให้เราใช้เงินไม่ได้เวลาหุ้นลง: ถ้าคุณซื้อกองทุนหุ้นมา 100 แล้วมันลงมาเหลือ 60 คุณไม่ควรรีบขาย เพราะมันจะทำให้คุณขายในจังหวะไม่ดี รออีกหน่อยราคาก็จะฟื้นกลับมาได้ แต่นั่นหมายความว่าระหว่างนั้นคุณจะขายกองทุนไม่ได้เลย จะเอาเงินออกมาใช้ก็ไม่ได้ คุณอยากเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นก็ทำไม่ได้ นี่คือข้อเสียของความผันผวน คุณจะ “ติด” ในช่วงที่หุ้นลง
- ข้อเสีย 2 ของความผันผวน ปวดใจ: ข้อนี้บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ผมอยากใส่ไว้สักหน่อย เพราะถ้าคุณซื้อกองทุนที่ผันผวนมากๆ บางทีคุณไปดูอีกทีอาจขาดทุนไป 30% ก็ได้ ถึงแม้มันจะสามารถฟื้นกลับมาได้ภายหลัง แต่ในตอนที่คุณไปดู ก็จะวิตกกังวลอย่างยิ่ง
- การกระจายความเสี่ยง เราควรกระจายซื้อกองทุนหลายชนิด ไม่นำเงินทั้งหมดมาซื้อกองทุนชนิดเดียวกัน ดังนั้น เราก็ควรซื้อกองทุนที่หลากหลาย อันนี้แล้วแต่คุณครับว่าอยากซื้ออะไรบ้าง หัวข้อนี้ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด ใครอยากลงทุนอะไรปนกันแบบไหนก็ได้เลย
- หุ้นไทย ตราบที่คุณอาศัยอยู่ในไทย การมีหุ้นไทยไว้สักหน่อยก็เป็นหลักประกันในชีวิตที่ดีครับ
- หุ้นต่างประเทศ ทุกวันนี้โลกเชื่อมถึงกัน และโอกาสดีๆ ก็อยู่ในต่างประเทศมากกว่าไทย คุณจึงอาจแบ่งการลงทุนไปต่างประเทศบ้าง ลองอ่านวิธีซื้อกองทุนต่างประเทศ ให้กำไรมากขึ้น 100% ดูครับ (คุณจะได้รับหุ้นฟรีมูลค่าสูงสุด $1000 ด้วย)
- หุ้นเทคโนโลยี ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ความผันผวนสูงมาก ดังนั้นเราอาจแบ่งเงินไปซื้อหุ้นเทคโนโลยีบ้าง แต่ไม่ควรมากไป
- ตราสารหนี้ ผลตอบแทนน้อย ผันผวนน้อย มีไว้บ้างกรณีที่เราไม่อยากให้ภาพรวมของเราผันผวนมากไป
- ทองคำ ผลตอบแทนปานกลาง ผันผวนปานกลาง มีข้อดีคือเวลาหุ้นลงมันจะไม่ลง (หรือขึ้นสวน) จึงอาจมีไว้ป้องกันเวลาที่ตลาดหุ้นตกหนัก
2. จัดพอร์ตกองทุนยังไง ฉบับ “ยาวไปไม่อ่าน”
หลักการเลือกกองทุนผมได้สรุปให้หมดแล้วในข้างบนนะครับ แต่เพื่อให้ง่ายสำหรับคุณ ผมมีตัวอย่างมาให้คุณทำตามง่ายๆ ได้เลย
ตัวอย่างข้างล่างไม่ใช่วิธีลงทุนที่ดีที่สุด เพราะวิธีที่ดีที่สุดนั้นขึ้นกับเป้าหมายของคุณ แต่ผมทำเอาไว้เป็นตัวอย่างให้ปรับใช้กันครับ
1. คนอายุ 25 ปี เพิ่งเริ่มทำงาน อยากสร้างความมั่งคั่ง กล้าเสี่ยง
- ซื้อกองทุนหุ้นไทย 50% กองทุนหุ้นต่างประเทศ 50%
- ทำไม? หุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด คุณควรเน้นลงทุนหุ้น ต่างประเทศมีโอกาสดีๆ มากกว่าไทย หุ้นต่างประเทศจึงเป็นการลงทุนที่ดีมาก แต่เพื่อลดความเสี่ยงจึงแบ่งลงทุน ไทย 50% ต่างประเทศ 50%
- การลงทุนต่างประเทศมีโอกาสดีๆ เยอะมาก คนที่สนใจ ลองอ่านวิธีซื้อกองทุนต่างประเทศ ให้กำไรมากขึ้น 100% ดูครับ (คุณจะได้รับหุ้นฟรีมูลค่าสูงสุด $1000 ด้วย)
- ต่างประเทศมีหลายประเทศ ที่น่าสนใจที่สุดคืออเมริกา จีน และเวียดนาม
2. คนอายุ 25 ปี เพิ่งเริ่มทำงาน ไม่อยากเสี่ยง
- ซื้อกองหุ้นไทย 100%
- ทำไม? หุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ดังนั้นคุณก็แค่ซื้อกองทุนหุ้นแล้วถือไปยาวๆ เลย แต่เนื่องจากคุณไม่อยากเสี่ยงมาก คุณจึงลงทุนแค่หุ้นไทย ไม่ไปถึงต่างประเทศ
3. อายุน้อย กำลังสร้างตัว อยากเลือกหุ้นด้วยตัวเอง และแบ่งส่วนหนึ่งไปซื้อกองทุน
- ซื้อหุ้นไทยรายตัว 50% กองทุนหุ้นต่างประเทศ 50%
- ทำไม? คุณอาจลงทุนหุ้นเองในตลาดหุ้นไทยก่อน เพราะเป็นตลาดที่คุณคุ้นเคย หาข้อมูลง่าย ส่วนเงินที่คุณแบ่งมาซื้อกองทุน ควรไปซื้อหุ้นต่างประเทศ เพราะมีโอกาสมากกว่า ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากที่คุณลงทุนหุ้นไทยอยู่แล้ว
4. มีเงินก้อนใหญ่จากมรดก อยากลงทุนให้เงินงอกเงย แต่กลัวความเสี่ยง
- ซื้อกองทุนหุ้น 50% ทองคำ 25% ตราสารหนี้ 25%
- ทำไม? คุณควรมีหุ้นบ้างเพราะหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด เงินของคุณจะได้งอกเงย ส่วนทองคำและพันธบัตรมีไว้ลดความผันผวน
5. คนอายุ 60 ปี มีเงินเกษียณก้อนหนึ่ง อยากรักษาเงินต้นไว้ และมีรายได้จากการลงทุนที่สม่ำเสมอ
- ซื้อตราสารหนี้ 80% หุ้นไทย 20%
- ทำไม? ตราสารหนี้เป็นหลักประกันว่าเงินของคุณจะไม่หายไปไหน ส่วนหุ้น 20% เป็นการลงทุนให้เงินงอกเงย
3. ซื้อกองทุนผสมกับหุ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น
กองทุนเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย เพราะเขาจะลงทุนกระจายหลายอย่างให้คุณ
- กองทุนหุ้นมักลงทุนหุ้นกระจายหลายสิบหรือหลายร้อยตัว
- กองทุนตราสารหนี้มักลงทุนตราสารหนี้หลายสิบหรือหลายร้อยตัว
ดังนั้น ภายในกองทุนเองก็มีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้ว นั่นทำให้คุณมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าจะกำไรในระยะยาว
แต่ข้อเสียของการกระจายความเสี่ยงก็คือ มันทำให้กองทุนถูกถ่วงด้วยหุ้นหลายสิบตัว บางตัวก็ดีบางตัวก็ไม่ดี จึงทำให้ผลตอบแทนของกองทุนมักออกมา “กลางๆ” ไม่สูงและไม่ต่ำ
คนที่อยากได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น อาจแบ่งเงินบางส่วนมาเลือกซื้อหุ้นเอง (ซื้อหุ้นบ้าง กองทุนบ้าง) และถ้าเราเลือกหุ้นได้ดี ก็จะทำให้เรามีผลตอบแทนสูงขึ้น ช่วงแรกๆ เราไม่จำเป็นต้องแบ่งเงินมาเยอะครับ อาจแบ่งเป็นก้อนเล็กๆ มาลองดูก่อน จากนั้นถ้าเราเลือกหุ้นเองได้ดี เราค่อยเพิ่มเงินก็ได้
แต่การลงทุนด้วยตัวเองนั้นต้องมีความรู้ที่เพียงพอด้วยนะครับ ถ้าเราลงทุนโดยขาดความรู้ เราอาจขาดทุนแทนที่จะทำกำไรได้ตามที่หวังไว้
คุณสามารถศึกษาเรื่องการลงทุนด้วยตัวเองได้ แต่ด้วยเนื้อหาที่เยอะและหลากหลาย การเรียนทุกอย่างเองอาจต้องใช้เวลาหลายปี บิงโกมีคอร์สดีๆ ที่จะสอนทุกอย่างที่คุณต้องรู้ในเวลาอันสั้น ตั้งแต่วิธีบริหารเงิน ออมเงิน วางแผนการเงิน พร้อมสอนวิธีนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยด้วยเทคนิคของมหาเศรษฐีและนักลงทุนชั้นนำ
4. ดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนหลายปี
ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจว่ากองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ปีนี้ ปีหน้าอาจไม่ดีก็ได้
บางครั้งปีนี้เขาทำผลตอบแทนได้สูง เพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจเอื้ออำนวย หรือเพราะโชคดี แต่เมื่อลงทุนไปหลายปีเข้า ก็จะกลับสู่สภาพปกติ ผลตอบแทนอาจกลายเป็นธรรมดาก็ได้
ถ้าคุณอยากมองหากองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดี คุณก็ต้องดูย้อนหลังสัก 3-5 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าเขาลงทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ดีเฉพาะปีนี้ปีเดียวเท่านั้น
บางกองทุนบริหารแบบ “Passive” นั่นคือเขาซื้อหุ้นตามดัชนีหุ้นแล้วปล่อยไว้เฉยๆ ทำให้ผลตอบแทนเป็นไปตามค่าเฉลี่ยตลาดหุ้น แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ดูแลมาก ค่าธรรมเนียมก็จะต่ำ
หลายกองทุนเก็บค่าธรรมเนียมแพง เพราะเขาบริหารแบบ “Active” โดยจ้าง “คนเก่ง” มาลงทุน แต่สุดท้ายผลตอบแทนก็ธรรมดา ไม่ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้น ดังนั้นคุณก็ต้องรับค่าธรรมเนียมที่แสนแพง แต่ได้ผลตอบแทนธรรมดา แบบนี้ก็ไม่คุ้ม
เวลาเลือกกองทุน คุณก็คงอยากซื้อกองที่ค่าใช้จ่ายต่ำและผลตอบแทนสูง คุณมี 2 ทางเลือก
- ซื้อกองทุนที่ Passive (หรือเรียกว่ากองทุนดัชนี Index Fund) เน้นค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด และยอมรับผลตอบแทนตามค่าเฉลี่ยตลาดหุ้น
- ซื้อกองทุนที่ Active ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมสูง เพื่อคาดหวังผลตอบแทนสูงๆ อันนี้ก็เรียกว่าตาดีได้ ตาร้ายเสียครับ เพราะถ้าเขาเก็บค่าธรรมเนียมไปแล้วได้ผลตอบแทนธรรมดา พอหักค่าใช้จ่ายเสร็จคุณอาจพบว่าไปซื้อกองทุน Passive ดีกว่า
5. หลีกเลี่ยงกองทุนที่คิดค่าธรรมเนียมแพง
กองทุนทุกตัวจะเก็บค่าธรรมเนียมจากคุณด้วย ซึ่งแบ่งเป็นค่าธรรมเนียมหลายชนิดจนคุณงงได้
จุดสำคัญคือ คุณต้องมองให้ออกว่า เขาคิดต่อปีเท่าไร ซึ่งถ้าค่าธรรมเนียมต่อปีสูง มันจะกินเงินคุณได้เยอะมากในระยะยาว
ขอเปรียบเทียบดังนี้นะครับ สมมุติคุณมีเงิน 100 ไปซื้อกองทุนที่เก็บเงินเราปีละ 2% ส่วนเพื่อนมี 100 ไปลงทุนเองโดยไม่ซื้อกองทุน พวกคุณทั้ง 2 คนลงทุนไปยาวๆ เลยตั้งแต่อายุ 20 ปีถึง 60 ปี
สมมุติว่ากองทุนของคุณลงทุนได้ผลตอบแทน 10 เท่า และเพื่อนของคุณก็ลงทุนได้ผลตอบแทน 10 เท่าเช่นกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ…
- เพื่อนจะมีเงิน 10 x 100 = 1000 บาท
- กองทุนของคุณได้ผลตอบแทนเท่ากัน ก่อนหักค่าใช้จ่ายก็จะเป็น 1000 แต่คุณเสียค่าธรรมเนียมปีละ 2% ต่อเนื่องมา 40 ปี ดังนั้นเงินของคุณจะเหลือ 1000 x (98%)^40 = 445 บาท
ผลตอบแทนเท่ากัน แต่ค่าธรรมเนียม 2% จะกินเงินของคุณจนเหลือไม่ถึงครึ่งของที่ควรจะมี
ดังนั้นเวลาลงทุน คุณควรเลือกซื้อกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมรายปีต่ำ ซึ่งที่จริงกองทุนไทยขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าเก็บค่าธรรมเนียมแพง (ปีละ 1-2%) ต่างจากในอเมริกา (ต่ำสุดปีละ 0.03%) ถ้าคุณไม่ติดปัญหาเรื่องภาษาจริงๆ ผมแนะนำให้ลองศึกษากองทุนในต่างประเทศดูครับ
- ซื้อกองทุนต่างประเทศโดยตรงผลตอบแทนก็สูงกว่า และค่าใช้จ่ายก็ต่ำกว่า ดีกว่าเยอะครับ ลองอ่านวิธีซื้อกองทุนต่างประเทศ ให้กำไรมากขึ้น 100% (คุณจะได้รับหุ้นฟรีมูลค่าสูงสุด $1000 ด้วย)
มาดูกันว่าจะคิดค่าธรรมเนียมกองทุนอย่างไร
ค่าธรรมเนียมกองทุนจะแตกย่อยจนสับสนมาก (เหมือนตั้งใจให้เรางงเลย) ผมจึงสรุปให้คุณเข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ
- จ่ายครั้งเดียวจบ มักจะเก็บตอนซื้อหรือขายกองทุน ค่านี้ไม่สำคัญมาก เพราะจ่ายครั้งเดียว ยิ่งเราลงทุนนานค่านี้ก็ยิ่งสำคัญน้อยลง
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อหน่วยลงทุน (Front-end Fee) เก็บตอนซื้อ เช่น เราซื้อกองทุน 100,000 บาท เขาเก็บ 2% เราก็ต้องจ่าย 2,000 บาท เงินในกองทุนของเราจะมี 98,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Back-end Fee) เก็บตอนขาย เช่น เราขายกองทุนที่เพิ่งซื้อไป 98,000 บาท เขาเก็บ 2% เราก็ต้องจ่าย 1,960 บาท เราจะได้เงินสดออกมา 96,040 บาท
- ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ (Transaction Fees) เก็บเพิ่มอีกตอนซื้อขาย แต่เพิ่มเป็นอีกชื่อ ที่จริงมีเหตุผลว่าทำไมเขาเพิ่มเป็นอีกชื่อ แต่เหตุผลนั้นไม่สำคัญ สุดท้ายก็เก็บเงินเราอยู่ดีครับ
- วิธีคำนวณ ต้องเอาตอนซื้อและขายมาบวกกันให้หมด ห้ามคิดแค่ตอนซื้อ เพราะถ้าเราจะเอาเงินออกมาใช้ ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมขาออกในที่สุด ไม่อย่างนั้นเงินในกองทุนก็เป็นแค่ตัวเลขที่ไม่ใช่ของเราจริงๆ หลายกองทุนใช้วิธี “ซื้อฟรี แล้วไปเก็บเงินตอนขาย” เพราะเขารู้ว่าบางคนจะดูแค่ตอนซื้อ จึงหลอกเราด้วยวิธีนี้
- จ่ายทุกปี นี่คือจุดที่คุณจะต้องสนใจที่สุด เพราะเรามักซื้อกองทุนแล้วลงทุนยาวๆ ทำให้ค่าธรรมเนียมที่จ่ายทุกปีกัดกินคุณไปเรื่อยๆ ค่านี้ยิ่งน้อยยิ่งดี
- ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด (Total Expense) คือตัวสำคัญที่สุด นี่เป็นค่าที่เขาจะเก็บจากคุณทุกปี และยิ่งต่ำยิ่งดีครับ ค่านี้จะแบ่งย่อยได้อีก แต่ไม่ต้องไปสนใจ เราดูตัวเลขรวมก็พอ ตัวย่อยเช่น…
- ค่าบริหารจัดการ
- ค่าผู้ดูแลผลประโยชน์
- ค่านายทะเบียน
- ค่าใช้จ่ายอื่น
- ค่าใช้จ่ายจากการซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุน (Turnover Rate Expense) ค่านี้เป็นค่าที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก เพราะมันแยกออกมา และถูกซ่อนเอาไว้ ค่านี้เกิดจากกองทุนซื้อขายหุ้นแล้วจ่ายค่านายหน้าให้โบรกเกอร์ เขาจึงมาเก็บกับคุณอีกต่อ ยิ่งกองทุนไหนซื้อขายหุ้นบ่อยค่านี้ก็จะทะยานเลยครับ
- วิธีคำนวณ ให้เอาสองค่าบนมาบวกกัน (Total Expense บวกกับ Turnover Rate Expense) ก็จะเป็นค่าใช้จ่ายรายปีที่คุณจ่ายจริง
- ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด (Total Expense) คือตัวสำคัญที่สุด นี่เป็นค่าที่เขาจะเก็บจากคุณทุกปี และยิ่งต่ำยิ่งดีครับ ค่านี้จะแบ่งย่อยได้อีก แต่ไม่ต้องไปสนใจ เราดูตัวเลขรวมก็พอ ตัวย่อยเช่น…
6. ซื้อกองทุนต่างประเทศ เพื่อโอกาสที่ดีกว่า
ท้ายที่สุด กองทุนก็วัดกันแค่ 2 อย่างเท่านั้นครับ คือค่าธรรมเนียมและผลตอบแทน
ในฐานะที่ผมลงทุนในอเมริกามานาน ผมพบว่ากองทุนไทยยังมีข้อด้อยทั้งสองด้านนี้อยู่มากเทียบกับอเมริกา
กองทุนไทยมีค่าธรรมเนียมสูงมาก ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ถ้าให้เดาก็คือ ธุรกิจกองทุนไทยผูกขาดโดยธนาคารไม่กี่ราย เขาจึงเก็บค่าธรรมเนียมแพงได้ เพราะคิดว่าถึงยังไงคุณก็ไม่มีทางเลือก กองทุนไทยเก็บ 1-2% ต่อปีนี่ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ในอเมริกา บางกองทุนเก็บ 0.03% ต่อปี น้อยกว่า 60 เท่า กระทั่งกองทุน ARKK ที่ลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตและสร้างผลตอบแทนปีล่าสุดได้ 90% ก็คิดค่าธรรมเนียมแค่ 0.75% ต่อปี เทียบกับกองทุนไทยที่คิดเงินคุณ 1.5% เพื่อไปซื้อหุ้นโรงไฟฟ้า…
พอกองทุนไทยเก็บค่าธรรมเนียมแพง ก็ทำให้ผู้จัดการกองทุนเขารายได้ดี งานสบาย เป็นงานที่คนรุ่นใหม่อยากทำ ก็เพราะเขาเก็บค่าธรรมเนียมยิบย่อยเยอะมากจากคุณนั่นเอง
ด้านผลตอบแทน ผมคิดว่าประเทศไทยก็ยังเติบโตได้ครับ แต่โอกาสดีๆ หลายอย่างนั้นอยู่ในประเทศที่มีนวัตกรรมอย่างอเมริกาและจีน ถ้าคุณลงทุนในประเทศพวกนี้ การลงทุนของคุณก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่งดงาม
ถ้าคุณอยากหาโอกาสที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ผมแนะนำให้ซื้อกองทุนในต่างประเทศเก็บไว้บ้างครับ ทั้งผลตอบแทนก็สูงกว่า และค่าใช้จ่ายก็ต่ำกว่า ที่จริงขั้นตอนไม่ได้ยากเลย ลองอ่านวิธีซื้อกองทุนต่างประเทศ ให้กำไรมากขึ้น 100% ดูครับ (คุณจะได้รับหุ้นฟรีมูลค่าสูงสุด $1000 ด้วย)
หรือถ้าสนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรง ลองดูวิธีลงทุนหุ้นต่างประเทศ หุ้นอเมริกาได้เลย
มือใหม่เริ่มต้นลงทุนด้วยตัวเองได้ง่ายๆ
อยากศึกษาเรื่องการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?
บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูง มือใหม่เรียนจบก็พร้อมลงทุนจริงได้เลย
คอร์สนี้ถูกออกแบบให้พิเศษกว่าคอร์สลงทุนทั่วไป เพราะมาจากหนังสือลงทุนของเซียนหุ้นระดับโลก ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, เบนจามิน เกรแฮม, ดร.นิเวศน์ และอื่นๆ จนเหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” ทุกเล่มที่เราคัดมาคือหนังสือลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “ของจริง” และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว