ตอนนี้มีคนสนใจลงทุนหุ้นอเมริกา หรือซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ช่องทางในการศึกษาเริ่มต้นน้อยมาก ในฐานะที่ผมลงทุนหุ้นในอเมริกามานานพอสมควร เลยอยากแชร์ประสบการณ์ และแนะนำวิธีซื้อหุ้นต่างประเทศง่ายๆ ให้ครับ
ผมเคยพูดถึงทศวรรษที่กำลังจะหายไปของไทย ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว และมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ
ในอดีต เศรษฐกิจไทยเติบโตด้วยการขายแรงงาน หรือไม่ก็ขายทรัพยากรธรรมชาติ เราไม่มีเทคโนโลยีของตัวเอง จึงอาศัยขายสิ่งพวกนี้เพื่อหารายได้ ซึ่งวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลอยู่สักพักครับ
แต่มาถึงวันนี้ คนไทยเกิดน้อยลง ค่าแรงไทยไม่ได้ถูกอีกต่อไป ประเทศกำลังจะกลายเป็นสังคมสูงอายุ ในขณะที่คนไทยรุ่นใหม่เรียนจบสูง ไม่มีใครอยากกลับไปขายแรงงานเหมือนรุ่นพ่อแม่ ทุกคนอยากเป็นผู้จัดการ ทำงานใช้ความรู้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างสรรค์สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นได้
สรุปคือ คนไทยจำนวนน้อยลง คนรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานแรงงานที่สร้างชาติมาในอดีต แต่ก็ไม่สามารถขยับไปทำสิ่งที่ใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น
ประเทศไทยจึงติดหล่ม จะให้กลับไปเย็บผ้าก็ไม่อยาก แต่จะให้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า คิดค้นยา หรือทำหุ่นยนต์มาแข่งกับประเทศอื่นก็ทำไม่ไหว ได้แต่หวังว่าจะรวยขึ้นโดยทำสิ่งเดิมๆ ที่เคยทำมาในอดีตต่อไป
ในฐานะคนไทย คุณอาจเป็นห่วง แต่ในฐานะนักลงทุน คุณสามารถไปลงทุนในประเทศอื่นที่มีโอกาสดีๆ มากกว่านี้ได้
จีนกำลังจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ เวียดนามกำลังเร่งพัฒนาเศรษฐกิจ และอเมริกาก็ยังคิดค้นนวัตกรรมอยู่ตลอดเวลา ในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกากับจีน คุณจะสามารถลงทุนใน “หุ้นแห่งอนาคต” ที่กำลังจะเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Big Data รถยนต์ไฟฟ้า ชิป AI คลาวด์คอมพิวติ้ง IOT ฯลฯ (มาดูกันว่าเทรนด์โลกจะไปทางไหน จะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ บ้าง)
ขอแค่คุณลงทุนในประเทศที่อนาคตไกลเหล่านี้ คุณก็สามารถมีส่วนร่วมในความมั่งคั่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
คนที่ไม่อยากซื้อหุ้นเอง แต่อยากลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุน ลองอ่านวิธีซื้อกองทุนต่างประเทศ ให้กำไรมากขึ้น 100% ดูครับ ส่วนคนที่อยากเปิดพอร์ตลงทุน อ่านวิธีหาโบรกเกอร์ต่างประเทศอย่างละเอียดได้เลย
ทำไมคุณควรลงทุนหุ้นต่างประเทศ
- มีโอกาสในการลงทุนหุ้นแห่งอนาคตเยอะมาก หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมักมาจากหุ้นเทคโนโลยีที่นำเทรนด์โลก ผลตอบแทนของหุ้นพวกนี้ไม่ได้อยู่ในระดับ 10% หรือ 20% อย่างที่เราคุ้นเคยกันในตลาดหุ้นไทย แต่มันสูงจนคุณจะต้องร้องขอชีวิต เพราะนับเลขศูนย์ไม่ไหว
- Microsoft ราคาหุ้นเพิ่มจาก $1.05 ในปี 1990 เป็น $220 ในปี 2020 คิดเป็นผลตอบแทน 21,000% หรือ 210 เท่าในเวลา 30 ปี
- Apple ราคาหุ้นเพิ่มจาก $3 ในปี 2008 เป็น $130 ในปี 2020 คิดเป็นผลตอบแทน 4,300% หรือ 43 เท่าในเวลา 12 ปี
- Netease เป็นบริษัทเกมในจีนที่จดทะเบียนในอเมริกา ราคาหุ้นเพิ่มจาก $0.04 ในปี 2002 เป็น $73 ในปี 2017 คิดเป็นผลตอบแทน 182,500% หรือ 1,825 เท่าในเวลา 15 ปี เงินลงทุน 10 ล้านบาทจะเปลี่ยนคุณเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านภายใน 15 ปี
- บริษัทเหล่านี้ไม่มีในไทย เพราะไทยไม่มีเทคโนโลยีของตัวเอง เราจึงได้แต่มองดูความสำเร็จของบริษัทระดับโลก แล้วรอใช้สิ่งที่คนอื่นสร้างขึ้นมา…
- แต่ตอนนี้โลกเราเชื่อมถึงกันหมด คุณสามารถเข้าไปร่วมลงทุนกับอนาคตของโลกได้แล้ว ตอนนี้นักลงทุนรุ่นใหม่เริ่มไปลงทุนหุ้นอเมริกากับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคนไทย เกาหลี ญี่ปุ่น และยุโรป ต่างเริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาและจีนมากขึ้น แล้วคุณล่ะ?
- ต่อให้ไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยี ธุรกิจอเมริกันกับจีนจะขยายไปได้ทั่วโลก เหมือนสตาร์บัคส์ที่ขายได้ทั่วโลก ต่างจากกาแฟดอยคำที่ขายแค่คนท้องถิ่น
- บริษัท Monster Beverage ขายเครื่องดื่มชูกำลัง “Monster Energy” ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ไม่กี่สิบปีมานี้ของโลก บริษัทมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และขยายตลาดอย่างรวดเร็วในอเมริกา ก่อนขยายไปทั่วโลก ราคาหุ้นพุ่งจาก 0.01 ดอลลาร์ในปี 1996 เป็น 7.16 ดอลลาร์ในปี 2006 คิดเป็นกำไร 71500% หรือ 715 เท่าภายใน 10 ปี
- เมื่อบริษัทไทยขยายไปได้ระดับหนึ่ง ก็จะเจอเพดาน เพราะสินค้าไทยมักขายให้คนไทยได้เท่านั้น ต่างจากสินค้าอเมริกันหรือจีน ที่พอขายให้คนในประเทศได้ เขาก็ขยายไปขายคนทั่วโลกต่อได้อีก จึงสามารถเติบโตได้ไกล ราคาหุ้นพุ่งได้โดยไม่มีข้อจำกัด
- รู้ทันเทรนด์สมัยใหม่ก่อนคนอื่น คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมคุณไม่ทันซื้อบิทคอยน์ตอนมันราคา 10 ดอลลาร์ กว่าจะรู้ก็ตอนที่มันขึ้นมาแล้ว 100 เท่า หรือรู้เป็นคนหลังๆ ว่าธุรกิจไหนเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก? เหตุผลง่ายมาก นั่นเพราะ “คุณอยู่ในประเทศไทย” คุณจึงรู้เรื่องของหุ้นไทย เศรษฐกิจไทย และประเทศไทยเป็นหลัก
- แต่นวัตกรรมใหม่หรือเทคโนโลยีที่เติบโตเร็ว จะเกิดในอเมริกาก่อน แล้วค่อยแพร่ไปประเทศอื่น กว่าข่าวสารจะมาถึงคุณจึงใช้เวลา นั่นทำให้คุณ “พลาดโอกาส” ลงทุนในสิ่งใหม่ๆ เยอะมาก
- ลองคิดดูว่าถ้าคุณลงทุนต่างประเทศอยู่แล้ว พอมีนวัตกรรมเกิดใหม่ คุณก็เป็นคนแรกๆ ที่รู้ก่อน ถึงไม่ได้สนใจแต่ข่าวสารก็จะมาถึงหูคุณเอง การลงทุนต่างประเทศจึงทำให้คุณทันโลกอยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ
- เป็นการกระจายความเสี่ยง ในกรณีที่เศรษฐกิจไทยประสบปัญหา ซบเซายาวนาน การลงทุนมีความเสี่ยง ถ้าคุณวางทรัพย์สินทั้งหมดของคุณไว้ในประเทศไทย ถ้าเศรษฐกิจไทยเกิดปัญหาต่อเนื่องยาวนาน ความมั่งคั่งที่คุณสะสมมายาวนานอาจร่อยหรอโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าคุณกระจายไปลงทุนต่างประเทศบ้าง ก็จะมีส่วนที่อยู่ในต่างประเทศคอยช่วยเหลือไว้
- การลงทุนหุ้นไทยยังทำให้คุณโดนวิกฤติเศรษฐกิจสองต่อ ถ้าประเทศไทยมีปัญหา หุ้นคุณก็ลง และถ้าต่างประเทศมีปัญหา หุ้นคุณก็จะลงเหมือนกัน เพราะเศรษฐกิจไทยและตลาดไทยเป็นผู้ตามต่างชาติอยู่เสมอ แต่ถ้าคุณลงทุนต่างประเทศ คุณจะโดนวิกฤติเศรษฐกิจแค่ต่อเดียว ตอนที่ต่างชาติมีปัญหาเท่านั้น
วิธีเริ่มต้นลงทุน เปิดบัญชีโบรกเกอร์
ตอนผมเริ่มลงทุนหุ้นต่างประเทศครั้งแรก ผมทำผิดพลาดหลายเรื่อง โดยเรื่องหนึ่งที่ผมพลาดที่สุดคือการเลือกโบรกเกอร์
มีโบรกเกอร์ไทยหลายเจ้าที่รับเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ความผิดพลาดของผมก็คงเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ คือไปใช้บริการโบรกเกอร์ไทยที่น่าเชื่อถือ ซึ่งหันมาให้บริการเสริมให้เราซื้อหุ้นต่างประเทศด้วย
ผิดผิดผิดผิดผิด
โบรกเกอร์ไทยที่จริงแล้วไม่ได้มีระบบของเขาเองอยู่ในเมืองนอก เขาจึงต้องไป “ร่วมธุรกิจ” กับโบรกเกอร์เมืองนอก พอเราส่งคำสั่งซื้อขายไป เขาก็ต้องส่งต่อไปเมืองนอกอีกที ทำให้มีการดำเนินการหลายชั้นซ้ำซ้อนกัน กว่าเราจะไปซื้อหุ้นต่างประเทศหรือซื้อหุ้นอเมริกาได้
นอกจากนี้ ระบบของโบรกเกอร์ไทยหลายเจ้ายังค่อนข้างไม่มีประสิทธิภาพ บางส่วนใช้คนดำเนินการอยู่ ค่าใช้จ่ายของเขาจึงสูงมาก ต่างจากระบบในอเมริกาซึ่งแทบจะเป็นอัตโนมัติกันหมดแล้ว
ผมขอให้คุณเปรียบเทียบค่าซื้อขายตามตารางนี้ครับ
ลองดูโบรกเกอร์ไทยง่ายๆ ครับ ของ Philip คิดค่าธรรมเนียม 0.25% ซึ่งดูไม่สูง แต่ค่าธรรมเนียมตรงนี้เมื่อเราลงทุนไปเรื่อยๆ เราจะต้องมีการซื้อขายหุ้นเมื่อเวลาผ่านไป และเมื่อมันทบต้นไปนานเข้า สุดท้ายมันจะทำให้เงินของคุณหายไปครึ่งนึงได้เลย ส่วนเจ้าอื่นยิ่งแล้วใหญ่ อย่าง SCBS ถ้าคุณซื้อขายไปนานๆ เงินจะหายไป 70% ตามตาราง (คุณเหลือ 30% ส่วนเงิน 70% ที่หายไปจะอยู่ที่โบรกเกอร์หมด)
ตัวที่ดีที่สุดคือ Fidelity ซึ่งเป็นโบรกเกอร์อเมริกัน เจ้านี้เขาไม่มีค่าคอมมิชชั่นซื้อขาย แต่ไม่ให้คนไทยเปิดบัญชีได้ง่ายๆ ยกเว้นคุณจะมี Social Security Number และไปอยู่ที่อเมริกานานพอสมควรแล้ว
เพื่อไม่ให้เสียเวลา สรุปง่ายๆ คือ Interactive Brokers ค่าธรรมเนียมซื้อขายถูกสุดครับ และไม่ได้ถูกกว่านิดเดียว แต่ถ้าคุณลงทุนไปนานๆ มันจะส่งผลระดับที่พอร์ตของคุณจะต่างกันเป็นเท่าๆ เลยเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์ไทย
คุณสามารถเปิดพอร์ตกับเขาผ่านลิงก์นี้ จะได้หุ้นฟรี $1000 นะครับ หรือเข้าไปอ่านวิธีเปิดบัญชีอย่างละเอียดได้เลย
ถูกกว่าแล้วคุณภาพเป็นไง
เรื่องความน่าเชื่อถือ Interactive Brokers เป็นหนึ่งใน Top 5 ของอเมริกา และหลายสำนักก็จัดให้เป็นอันดับ 1 เจ้านี้ทำธุรกิจมา 40 กว่าปี จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับ SEC อเมริกา และหุ้นของโบรกเกอร์นี้ยังอยู่ในตลาดหุ้นอเมริกาอีกด้วย
นอกจากนี้ Interactive Brokers ยังมีระบบเทรดที่ครบเครื่องที่สุด มืออาชีพในอเมริกาใช้งานกันมากที่สุด อันที่จริงถ้าคุณซื้อขายหุ้นไม่บ่อย เรื่องนี้อาจไม่มีผลมาก แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยคุณได้เยอะในวันที่คุณจะซื้อหรือขาย เพราะมันจะทำให้คุณซื้อขายหุ้นได้ในราคาที่ดีขึ้นมาก
แล้วใครจะรู้ว่าเมื่อคุณลงทุนไปเรื่อยๆ คุณอาจต้องการพัฒนามาใช้เครื่องมือที่สูงขึ้น ซึ่งเขาก็มีให้คุณหมด ไม่ต้องมาย้ายโบรกเกอร์ทีหลังให้ยุ่งยาก จึงเป็นวิธีซื้อหุ้นต่างประเทศที่ง่ายและดีที่สุด
คุณสามารถเปิดพอร์ตกับเขาผ่านลิงก์นี้โดยตรง จะได้หุ้นฟรี $1000 นะครับ หรือเข้าไปอ่านวิธีเปิดบัญชีอย่างละเอียดได้เลย
6 เรื่องที่ควรรู้ก่อนซื้อหุ้นอเมริกาโดยตรง
1. หุ้นอเมริกาไม่มีกรอบราคาวิ่งขึ้นลง (Floor และ Ceiling) หุ้นอเมริกาสามารถขึ้นลงได้แรงมากภายในเวลาวันเดียวหรือชั่วข้ามคืน วันที่ประกาศผลประกอบการจะวิ่งแรงมาก บางตัวขึ้นหรือลง 30% ภายในวันเดียว บางตัวลง 70% ภายในวันเดียว
2. หุ้นในอเมริกามีหลายชนิด เราสามารถเลือกลงทุนได้ตามความชอบ คนที่ชอบลงทุนแนว VI ก็สามารถเลือกซื้อหุ้น VI ตามวอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือปีเตอร์ ลินช์ ได้เลย ส่วนใครชอบหุ้นเทคโนโลยี ขึ้นแรงลงแรง ก็ไปเล่นหุ้นเทคโนโลยีได้ ลองอ่านวิธีหาหุ้น 10 เด้งได้เลยครับ
3. ถ้าจะลงทุนหุ้นอเมริกา ไม่ควรลงทุนหุ้นปันผล เพราะเราจะโดนภาษีหนัก ถ้าจะเล่นหุ้นปันผลผมแนะนำให้กลับมาเล่นหุ้นไทยดีกว่า (ลงทุนหุ้นปันผลอย่างไร หลัก 4 ข้อที่ต้องดู)
4. ตลาดหุ้นอเมริกาเปิดตอน 2 ทุ่มครึ่งหรือ 3 ทุ่มครึ่ง (แล้วแต่ว่าเป็นช่วงไหนของปี) และปิดตลาดตี 3 หรือตี 4 (แล้วแต่ว่าเป็นช่วงไหนของปี) ดังนั้นเราจะต้องมีแผนรับมือความแตกต่างด้านเวลาตรงนี้ไว้ด้วย
5. ตลาดหุ้นอเมริกาคือศูนย์รวมของหุ้นทั่วโลก จึงมีหุ้นจากประเทศอื่นๆ มาจดทะเบียนเยอะมาก มีหุ้นจีนดีๆ อย่าง Alibaba, JD, Baidu, Netease มาจดทะเบียนให้คุณซื้อได้ กระทั่ง Shopee ก็จดทะเบียนในตลาดหุ้นอเมริกา (สัญลักษณ์ SE)
6. หุ้นในอเมริการาคาลงได้เร็ว หนัก และลึก เวลาลง บางตัวลงได้ 90% ภายในเวลาแค่เดือนเดียว ไม่มีความปรานีใดๆ เราจึงต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงด้วย
หุ้น 4 กลุ่มและวิธีจัดพอร์ตลงทุนหุ้นต่างประเทศ
นักลงทุนชื่อดังอย่างปีเตอร์ ลินช์ ได้แบ่งหุ้นไว้ 6 ชนิด ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีมากในการเลือกหุ้นรายตัว
แต่ในที่นี้ผมขอแบ่งใหม่เป็น 4 กลุ่ม เพื่อเป็นแนวทางในการจัดพอร์ตของคุณนะครับ
- หุ้นที่ถือยาวได้ (Core) เป็นหุ้นที่คุณยึดเป็นแกนหลักของพอร์ต หุ้นกลุ่มนี้มีธุรกิจที่เสถียรมั่นคง เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คุณมั่นใจได้ว่าถือยาวแล้วยังไงราคาก็ต้องขึ้นไปเรื่อยๆ
- ซื้อเก็บเอาไว้แล้วก็ไม่ต้องดูบ่อย ถือไว้นาน ฝากชีวิตไว้ได้
- คุณอาจหาหุ้นกลุ่มนี้จากธุรกิจรอบตัวที่คุณชื่นชอบและใช้บ่อย เช่น Google, Microsoft, Facebook, Twitter, Nike, Coke, Domino Pizza, Disney เป็นต้น
- หุ้นเก็งกำไร (Speculative) เป็นหุ้นสตาร์ทอัพที่คุณเชื่อมั่น กำลังเติบโตเร็วมาก คุณคิดว่ามีโอกาสราคาขึ้นไป 10 เท่าได้ คุณจึงแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาลงทุน แต่คุณไม่สามารถทุ่มเงินทั้งหมดได้ เพราะยังมีความเสี่ยงอยู่
- ถือยาวพอสมควร 1-2 ปี เพื่อหวังกำไรก้อนโต (ลองอ่าน 7 ข้อที่ต้องดูถ้าอยากหา Super Stocks หุ้น 10 เด้ง)
- แบ่งเงินส่วนเล็กมาซื้อ เพราะมีความเสี่ยง
- หุ้นที่ซื้อขายระยะสั้น เป็นหุ้นที่คุณคิดว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่คุณไม่ได้เชื่อมั่นในธุรกิจของเขา คุณคิดว่าอนาคตของเขาก็งั้นๆ พอหุ้นขึ้นจึงขายทำกำไร
- หุ้นกลุ่มนี้คุณอาจมีหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบซื้อขายระยะสั้นไหม
- หุ้นปันผล เป็นหุ้นที่บริษัทไม่โตแล้ว จ่ายเงินปันผลสูง แต่ราคาไม่ค่อยขึ้น
- ไม่แนะนำให้ลงทุน เพราะหุ้นปันผลที่ลงทุนในอเมริกาจะต้องเสียภาษีสูง
- ถ้าคุณอยากได้หุ้นปันผลจริงๆ เรากลับมาซื้อหุ้นไทยดีกว่า ประเทศไทยมีหุ้นปันผลดีๆ ให้คุณลงทุนเยอะอยู่แล้ว (ลองอ่านหลัก 4 ข้อในการลงทุนหุ้นปันผลดูครับ)
ในการลงทุน ผมแนะนำให้ลงทุนหุ้นกลุ่ม 1-3 โดยสัดส่วนจะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่สไตล์การลงทุนของคุณ
บางคนไม่ชอบซื้อขายระยะสั้นเลย ก็ไม่จำเป็นต้องมีหุ้นกลุ่ม 3 แต่เน้นกลุ่ม 1-2 แทน
ส่วนคนที่ยึดมั่นในแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI อาจหนักไปที่หุ้นกลุ่ม 1 ซึ่งวิเคราะห์มาดีแล้วว่าซื้อแล้วถือยาวได้เลย
ถ้าคุณพร้อมลงทุนแล้ว ลองมาดูกันว่าเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ไหนดีที่สุด
เลือกซื้อหุ้นต่างประเทศแบบไหน ถือยาวได้ 30 ปี
หุ้นอเมริกาบางตัวมีธุรกิจที่แข็งแกร่งมาก เพราะเวลาบริษัทอเมริกันชนะในธุรกิจไหน เขาจะกินรวบทั้งโลก
ถ้าคุณลงทุนหุ้นแบบนี้ ซื้อเสร็จก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ถือยาวๆ เก็บไว้ให้ลูกหลานได้เลย (การลงทุนแบบนี้จะคล้ายวิธีลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI ซึ่งซื้อหุ้นที่แข็งแกร่งมากๆ ครับ)
หุ้นที่ถือยาวได้มักจะมีลักษณะดังนี้
- อยู่ในธุรกิจที่กำลังเติบโต เป็นแรงส่งให้เติบโตต่อได้ง่าย
- มี “พลังการผูกขาด” หรือ “แบรนด์” ที่ทำให้คู่แช่งสู้ไม่ได้ เช่น Microsoft, Google ทำธุรกิจผูกขาด ส่วน Disney, Starbucks มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ยากที่ใครจะมาแข่งขัน
- ทำธุรกิจมานานเกินสิบปี เป็นเครื่องยืนยันความมั่นคง
- ขายสิ่งที่คนทั่วโลกใช้ กระทั่งคนไทยยังรู้จัก แสดงว่าสินค้าหรือบริการของเขาเป็นที่ต้องการจากทั่วโลก มีรากฐานที่แข็งแกร่ง และที่สำคัญ ถ้าเรารู้จักสิ่งที่เราลงทุน เราก็จะยิ่งมั่นใจในหุ้นครับ
- มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องทุกปี และมีเงินไปขยายธุรกิจได้ตลอด
ถ้าคุณเลือกลงทุนหุ้นแนวนี้ ก็จะปลอดภัย หายห่วงมากๆ ครับ
ถ้ากองทุนไม่เล่น ถือทั้งชาติก็ไม่ขึ้น
ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของผมในการลงทุนหุ้นอเมริกาก็คือ ผมเชื่อในการวิเคราะห์ธุรกิจมากเกินไป ซึ่งใช้ไม่ได้กับหุ้นในอเมริกาบางตัวครับ
หุ้นบางตัวในอเมริกา ราคาไม่ได้ขึ้นลงตามพื้นฐานทางธุรกิจ แต่ขึ้นลงตามข่าวลือและอารมณ์ของตลาด
ตลาดหุ้นอเมริกาเป็นตลาดที่เหมือนมีตลาดย่อย 2 แห่งอยู่ซ้อนกัน
- หุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งตลาดมีประสิทธิภาพสูง
- หุ้นขนาดเล็ก ซึ่งเป็นแดนคนเถื่อน ชกใต้เข็มขัดแล้วกรรมการมองไม่เห็น
เม็ดเงินส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นอเมริกาอยู่กับนักลงทุนสถาบันหรือ “กองทุน” ซึ่งมักลงทุนหุ้นขนาดใหญ่
ดังนั้นหุ้นขนาดใหญ่จะมีกองทุนระดับโลกจับตาดูอยู่ตลอด ราคาจะค่อนข้างเหมาะสมกับมูลค่าบริษัท ตลาดมีประสิทธิภาพสูง
แต่หุ้นตัวเล็กจะไม่ค่อยมีกองทุนสนใจ ทำให้ราคาขึ้นลงด้วยอารมณ์แรงมากจากนักลงทุนรายย่อยและ “Algo Trading” (หุ่นยนต์ซื้อขายหุ้นที่คอยซื้อหุ้นที่กำลังขึ้นให้ขึ้นแรง และช่วยทุบราคาหุ้นที่กำลังลงให้ร่วงหนัก)
ราคาหุ้นบริษัทเล็กจึงผันผวน และหลายครั้งไม่ได้สะท้อนตัวธุรกิจ จนกว่ากองทุนจะเริ่มเข้ามาสนใจ ราคาจึงค่อยๆ เริ่มสูงขึ้น
- หุ้นขนาดเล็กที่กองทุนยังไม่เล่น จะมี “ระยะพักตัว” นาน ในช่วงนี้ราคาจะผันผวน แต่จะไม่ไปไหน
- ถ้าคุณลงทุนหุ้นเล็กในช่วงนี้ ถือยาวคุณจะไม่ได้กำไร เพราะเป็นช่วงที่ราคาขึ้นลงตามอารมณ์ ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ
- จนกระทั่งกองทุนเริ่มเข้ามาซื้อ ราคาหุ้นจึงเริ่มขึ้น ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ราคาขึ้นแรง
- เมื่อกองทุนเข้ามาซื้อเยอะๆ ก็จะกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งซื้อขายตามพื้นฐานทางธุรกิจ
ในการลงทุนหุ้นขนาดเล็ก จังหวะที่หุ้นจะขึ้นได้ดีที่สุดคือตอนที่มันเปลี่ยนจากกองทุนไม่เล่น เป็นหุ้นที่กองทุนเล่น ถ้าซื้อช่วงนี้จะกำไรได้ดีที่สุดครับ
ซื้อกองทุนถ้าไม่อยากเลือกซื้อหุ้นต่างประเทศเอง
ทันทีที่คุณเปิดพอร์ตและเข้าถึงตลาดหุ้นอเมริกา คุณจะเข้าถึงวิธีลงทุนชนิดหนึ่งที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ “กองทุน ETF” (มาดูกันว่าเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ไหนดีที่สุด)
ETF คือกองทุนที่ซื้อขายกันในตลาดหุ้นโดยตรง ซึ่งจะทำให้การลงทุนของคุณยืดหยุ่นมาก เพราะในอเมริกามี ETF ที่หลากหลายให้เลือกซื้อ โดยคุณซื้อได้เลยผ่านบัญชีซื้อขายหุ้นของคุณ (อ่านกลยุทธ์ซื้อ ETF ในอเมริกาง่ายๆ ได้เลยครับ)
คุณสามารถซื้อทั้งหุ้นและ ETF ผสมกัน โดยใช้ ETF ชดเชยส่วนที่หุ้นของคุณขาดไปได้
- ถ้าหุ้นของคุณเป็นหุ้นเติบโตที่ผันผวนแรง คุณอาจแบ่งเงินไปซื้อ ETF ที่ลงทุนในดัชนีใหญ่ เพื่อเพิ่มความเสถียร เช่น ซื้อ VOO ที่ลงทุนในดัชนี S&P500
- ถ้าหุ้นของคุณเป็นหุ้นแนว VI ที่แข็งแกร่งมั่นคง คุณอาจ ซื้อ ETF ที่ลงทุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง ARK เข้ามาเสริม เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้น
- บางคนกระจายความเสี่ยงด้วยการซื้อ ETF ทองคำอย่าง GLD เพราะมีหุ้นเยอะแล้ว
- พลิกแพลงได้หลากหลายมาก เพราะ ETF ในอเมริกาลงทุนแทบจะทุกอย่าง
นอกจากนี้ ถ้าคุณไม่อยากเลือกหุ้นเอง คุณก็อาจลงทุนโดยซื้อแต่ ETF เลยก็ได้ นับว่าเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เยี่ยมยอดและปลอดภัยเช่นกัน
เว็บไซต์วิเคราะห์กราฟหุ้นต่างประเทศ & หุ้นอเมริกา
ใช้เว็บ Trading View ในการวิเคราะห์กราฟหุ้นครับ เว็บนี้มีฟังก์ชันเยอะมาก ซึ่งพลิกแพลงได้หลายวิธีจนถึงขนาดมีคอร์สสอนกันเลย
นอกจากหุ้นแล้วยังสามารถใช้ดูราคาอย่างอื่นได้ด้วย เช่นบิทคอยน์ ราคาน้ำมัน ฯลฯ
ลองหาเทคนิคใช้ต่างๆ ได้ตามกูเกิลหรือยูทูปครับ
แหล่งข้อมูลในการลงทุนหุ้นต่างประเทศ
เมื่อเราตัดสินใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ เราก็ต้องติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ ผมมีแหล่งข้อมูลดีๆ มาแนะนำดังนี้ครับ
- seekingalpha.com ชุมชนนักลงทุน ใช้หาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้น ทั้งข่าวสาร บทวิเคราะห์ และงบการเงินของหุ้นอเมริกา
- stocktwits.com เป็นเหมือนทวิตเตอร์สำหรับหุ้น ข้างในจะมีคนมาโพสต์ความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งจริงบ้างเท็จบ้าง บางครั้งก็มีข่าวปลอม บ่อยครั้งก็มีความคิดเห็นที่ไม่ได้เรื่อง แต่คุณจะเห็นภาพรวมว่าคนที่ลงทุนหุ้นแต่ละตัวกำลังคิดอะไรอยู่
- finviz.com หาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้น สภาพตลาด และยังมีเครื่องมือสแกนหุ้นด้วย
- www.fool.com มีบทความเชียร์หุ้นอเมริกาต่างๆ ซึ่งควรฟังหูไว้หู แต่พออ่านแล้วเราจะได้ชื่อหุ้นมาวิเคราะห์ต่อ
- newsfilter.io หาข่าวที่เกี่ยวกับหุ้นแต่ละตัวได้เลย สะดวกมากเวลาเราอยากรู้ว่าหุ้นของเรามีข่าวอะไรบ้าง
- finbox.com ช่วยในการวิเคราะห์มูลค่าหุ้น มีงบการเงินให้ด้วย
- investing.com สำหรับตามข่าวเกี่ยวกับหุ้นโดยเฉพาะ
- bloomberg.com สำหรับตามข่าวเศรษฐกิจภาพรวม
ภาษีหุ้นอเมริกา
เมื่อคุณลงทุนหุ้นอเมริกา จะมีภาษีที่คุณต้องระวัง ดังนี้
- ภาษีเงินปันผล เขาจะหัก ณ ที่จ่าย 30% เราจะไม่ได้คืน
- ภาษี Capital Gains เกิดจากการขายหุ้นได้กำไร
- เราไม่ต้องจ่ายให้รัฐบาลอเมริกา เราจ่ายให้รัฐบาลไทยก็พอตามสนธิสัญญาภาษีซ้อน
- แต่รัฐบาลไทยจะละเว้นภาษีให้คุณ ถ้าคุณไม่นำเงินกลับประเทศในปีภาษีนั้น
- สรุปคือ ถ้าไม่รีบเอาเงินกลับประเทศ ก็ไม่ต้องเสียภาษี
มือใหม่เริ่มต้นลงทุนได้ง่ายๆ วันนี้
คนที่กำลังเรียนรู้เรื่องการลงทุน ลองอ่านวิธีลงทุน 4 สไตล์ในโลกเพื่อหาแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง
หรืออ่านวิธีลงทุนแนว VI หรือแนวเน้นคุณค่า ซึ่งเป็นสไตล์ที่นิยมที่สุด และคุณยังอาจเข้าไปดูเทคนิควิเคราะห์งบการเงินสำหรับมือใหม่ครับ
หรือคนที่อยากหาหนังสือหุ้นมาอ่านเพิ่มเติม ผมได้ลิสต์หนังสือดีๆ ไว้ให้คุณอ่านเรียบร้อยแล้ว
เรียนคอร์สลงทุน “นักลงทุนมือหนึ่งของโลก”
อยากศึกษาเรื่องการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?
บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูง มือใหม่เรียนจบก็พร้อมลงทุนจริงได้เลย
คอร์สนี้ถูกออกแบบให้พิเศษกว่าคอร์สลงทุนทั่วไป เพราะมาจากหนังสือลงทุนของเซียนหุ้นระดับโลก ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, เบนจามิน เกรแฮม, ดร.นิเวศน์ และอื่นๆ จนเหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” ทุกเล่มที่เราคัดมาคือหนังสือลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “ของจริง” และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว
ขอบคุณค่ะ ให้ความรู้ดีมาก อ่านแล้วเรามีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
ดีมาก
พอทราบไหมคะว่าจะเปิดพอร์ต ซื้อหุ้นต่างประเทศได้ที่ไหน
ลองเข้าไปดูทางลิงก์นี้นะครับ