หุ้น vs อสังหาริมทรัพย์ เป็นคำถามโลกแตกที่คาใจหลายคน เพราะในบรรดาการลงทุนทั้งหมด หุ้นกับอสังหาริมทรัพย์สร้างเศรษฐีมามากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก แต่เวลาเราลงทุน เราต้องฝึกฝนให้ชำนาญเฉพาะด้าน แทบเป็นไปไม่ได้ที่เราจะลงทุนได้ดีในทุกด้าน
ถ้าคุณอยากถนัดหุ้น ก็เป็นไปได้ยาก (และไม่จำเป็น) ที่คุณจะถนัดอสังหาริมทรัพย์ และถ้าคุณถนัดอสังหาฯ ก็เป็นไปได้ยากที่คุณจะลงทุนหุ้นได้ดีเท่าคนที่ทุ่มเทให้การลงทุนหุ้น
ก่อนลงทุน คุณจึงควรตัดสินใจว่าอยากถนัดด้านไหน แล้วไปด้านนั้นให้สุดทางเลยดีกว่า ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูข้อดีข้อเสียของหุ้น vs อสังหาริมทรัพย์กันครับ
อสังหา = เป็นหนี้ตลอดชีวิต
ในการลงทุนอสังหา มีกลยุทธ์หลายอย่างให้คุณเลือก
แต่โดยทั่วไป ถ้าคุณลงทุนอสังหาโดยไม่กู้เงิน คุณจะลงทุนได้ไม่ดีหรอกครับ
ถ้าคุณไม่อยากกู้เงิน ไม่ชอบเป็นหนี้ คุณก็ไม่ควรลงทุนอสังหา
ทำไม?
ปกติอสังหาริมทรัพย์เก็บค่าเช่าจะให้ผลตอบแทนปีละ 5-10%
นี่คือผลตอบแทนของอสังหาริมทรัพย์ระดับท็อปนะครับ ผลตอบแทนระดับนี้คือแนวหน้าของอสังหาริมทรัพย์แล้ว ถ้าคุณซื้ออสังหาผิดชิ้น ผลตอบแทนก็ต่ำลงอีก หรืออาจติดลบ
แต่สังเกตว่า 5-10% เนี่ย คุณไปซื้อกองทุนหุ้นแล้วก็นอนเล่นอยู่บ้าน หรือไปซื้อหุ้นปันผลก็ได้ผลตอบแทนใกล้กัน ไม่เห็นต้องเหนื่อยไปดูแลอสังหาริมทรัพย์เลย ซื้อกองทุนก็มีคนบริหารเงินแทนแล้ว กำไรเท่ากันหรืออาจมากกว่าด้วย
ถ้าคุณคิดจะใช้เงินสดซื้ออสังหามาปล่อยเช่า (ไม่กู้) คุณกำลังบริหารเงินแบบไม่มีประสิทธิภาพ ผลตอบแทนของคุณจะต่ำมาก แล้วก็เหนื่อยอีก คุณเอาเงินก้อนนั้นไปซื้อกองทุนหรือหุ้นปันผลแล้วนอนเล่นจะดีกว่า
…
แต่ข้อดีของอสังหาริมทรัพย์ก็คือ คุณเอาไปใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ แล้วพอคุณลงทุนด้วยเงินกู้ ผลตอบแทนก็สามารถเพิ่มได้เป็น 15-30% ซึ่งสูงใช้ได้เลย
การลงทุนอสังหาจึงเป็นการบังคับกลายๆ ให้คุณกู้เงินมาลงทุน (ไม่งั้นไปลงทุนอย่างอื่นดีกว่า) และคุณจะต้องคอยบริหารเงินอยู่ทุกเดือนเพื่อหาเงินมาผ่อนเงินกู้เหล่านั้นครับ
แต่อย่าลืมว่าการลงทุนด้วยเงินกู้นั้น คุณจะมีหนี้สินติดตัวในระยะยาว และยิ่งถ้าคุณคิดจะลงทุนไปเรื่อยๆ คุณก็จะมีหนี้สินติดตัวไปตลอดจนวันตาย
เป็นหนี้อสังหาไม่ใช่ไม่ดี
หลายคนพอได้ยินว่านักลงทุนอสังหาต้องเป็นหนี้ตลอดชีวิต ก็ส่ายหน้าทันที แต่ที่จริงหนี้ที่มาจากการลงทุนอสังหานั้น ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะอย่าลืมว่าคุณจะมีอสังหาที่นำไปปล่อยเช่า สร้างรายได้ให้คุณทุกเดือน
ถ้าคุณบริหารเงินได้ดี รายได้นี้จะไปจ่ายค่าผ่อนได้สบาย และยังมีเงินเหลือให้คุณใช้จ่ายหรือลงทุนต่อได้ด้วย หนี้สินที่เกิดจากอสังหาจึงไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น คนที่บริหารเงินได้ดีก็จะเคยชินไปเองครับ
หุ้น = การตามข่าวตลอดชีวิต
หุ้นเป็นการลงทุนที่กดปุ่มไม่กี่ปุ่มก็ลงทุนได้ แต่ก่อนคุณกดปุ่ม มันจะมีกระบวนการก่อนหน้านั้นครับ นั่นคือการศึกษาหาข้อมูล และคิดวิเคราะห์อย่างหนัก ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นสักตัว
มันไม่ใช่ว่าคุณกดปุ่มซื้อหุ้นเพราะชอบชื่อบริษัท แล้วจู่ๆ ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปได้อย่างน่ามหัศจรรย์
…
ก่อนซื้อ คุณต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่จะซื้อ แล้วพอซื้อเสร็จ คุณก็ต้องคอยติดตามข่าวที่จะมากระทบธุรกิจของบริษัทที่คุณถือหุ้น คุณยังจะต้องคอยติดตามข่าวสาร เพื่อมองหาโอกาสใหม่ๆ และหุ้นตัวใหม่ๆ ในการลงทุน
ถ้าคุณหยุดพัฒนาตัวเอง หยุดติดตามข่าว การลงทุนของคุณก็จะแย่ลง ดังนั้นถ้าคุณลงทุนหุ้น คุณจะถูกบังคับให้คิดวิเคราะห์ไปตลอดชีวิต การคิดและการตามข่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความรู้ที่ดีที่สุดของการลงทุนมักอยู่ในหนังสือ
ถ้าคุณสนใจลงทุนหุ้น จะต้องศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน และความรู้หุ้นที่ดีที่สุดมักอยู่ในหนังสือ เพราะหนังสือเป็นช่องทางที่เราจะเข้าถึงแนวคิดในการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำของโลกได้ง่ายที่สุด ไม่มีนักลงทุนระดับโลกคนไหนจะมาอธิบายเทคนิคของตัวเองอย่างละเอียดในยูทูป แต่ถ้าเขาอยากถ่ายทอดจริงๆ เขามักเขียนเป็นหนังสือไปเลย
ที่จริงนักลงทุนไทยเก่งๆ ก็เรียนรู้แนวคิดของนักลงทุนชั้นนำในโลกจากหนังสือนี่แหละครับ ผมกล้าบอกเลยว่านักลงทุนไทยทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนอ่านหนังสือมาเยอะมาก
คนที่ไม่รู้จะเริ่มอ่านจากไหน ผมได้สรุปหนังสือลงทุนดีๆ ที่ควรอ่าน ให้คุณแล้วครับ
แต่ปัญหาของหลายๆ คนคือ หนังสือแต่ละเล่มนั้นใช้เวลาอ่านเยอะ แถมทำความเข้าใจยาก อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง กว่าจะอ่านครบแล้วเชื่อมโยงแต่ละเล่มเข้าด้วยกันก็กินเวลานาน (เล่มนึงบางทีอ่านเป็นสัปดาห์ เล่มหนาๆ ก็เป็นเดือน)
แนวคิดบางอย่างก็อยู่ในบริบทของต่างประเทศและเกิดขึ้นมาเมื่อหลายสิบปีก่อน จึงยากที่จะทำความเข้าใจ บิงโกจึงมีคอร์สลงทุนที่ช่วยเรียบเรียงลำดับความคิดเรื่องการลงทุนทั้งหมดให้คุณ ดูรายละเอียดคอร์สด้านล่างได้เลยครับ
ผลตอบแทนและความเสี่ยง
ทั้งหุ้นและอสังหาสามารถสร้างความมั่งคั่งให้คุณได้ทั้งคู่ครับ
หุ้นเป็นสิ่งที่ราคาขึ้นลงรุนแรง บางทีมันทำให้คุณขาดทุนเกือบหมดได้ บางทีก็ทำให้คุณร่ำรวยเกินจินตนาการ
มีบางคนที่ซื้อหุ้นถูกตัว ราคาขึ้นไป 10 เท่าในปีเดียว แสดงว่าถ้าคุณลงทุนไป 1 ล้าน ปีถัดไปคุณก็จะมี 10 ล้าน
โดยเฉลี่ยแล้วหุ้นจะให้ผลตอบแทน 7-10% ต่อปี (นี่คือค่าเฉลี่ยนะครับ แต่บางตัวจะ +1000% และบางตัวก็ -90%)
กลยุทธ์ในการลงทุนหุ้นจะมีหลากหลาย ซึ่งแต่ละกลยุทธ์ก็ให้ผลตอบแทนไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณลงทุนแบบ “ไม่ใช้สมอง” ที่สุด คุณก็แค่ไปซื้อกองทุน แล้วไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้จัดการกองทุนเขาก็จะบริหารเงินให้คุณ ได้ผลตอบแทนแถวๆ ค่าเฉลี่ย 7-10% ต่อปี
ถ้าคุณจะเลือกหุ้นด้วยตัวเอง ผลตอบแทนและความเสี่ยงจะขึ้นกับชนิดหุ้นของคุณด้วย
คุณอาจลงทุนหุ้นปันผล เน้นซื้อหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง ผลตอบแทนก็จะ 7-10% เช่นกัน หุ้นปันผลจะเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย และอยากได้กระแสเงินสดที่มั่นคงสม่ำเสมอ
หรือคุณอาจซื้อหุ้นที่ผันผวนแรง ซึ่งสามารถทำให้รวยเร็ว แบบนี้อาจได้ปีละหลายเท่าก็ได้
ในทางกลับกัน การลงทุนอสังหาริมทรัพย์จะไม่ผันผวนเท่าหุ้น
ปกติอสังหาเขาก็จะลงทุนกันสองแนวครับ แบบแรกคือซื้อที่ดินแล้วรอให้มันขึ้นราคา ผมว่าแบบนี้มันก็คล้ายกับลงทุนในหุ้น VI คุณซื้อหุ้นดีๆ หรือซื้อที่ดินแปลงดีๆ มา แล้วก็ถือยาวสัก 5-10 ปีรอให้ราคาขึ้น ขายทำกำไรก้อนใหญ่ทีเดียว
แต่ถ้าคุณอยากลงทุนที่ดิน ผมว่าลงทุนหุ้นแบบ VI จะได้ผลดีกว่า ราคาสามารถขึ้นได้เร็วกว่า และความเสี่ยงก็ไม่ต่างกันมาก (แต่ตรงนี้ก็ขึ้นกับความถนัดด้วยครับ บางคนอาจถนัดลงทุนที่ดินมากกว่า)
…
การลงทุนอสังหาแนวที่สองก็คือ กู้เงินไปซื้อตึกหรือห้องเช่า แล้วก็ไปปล่อยเช่า เอาค่าเช่าไปจ่ายค่าผ่อน
การลงทุนแบบนี้ผลตอบและความเสี่ยงจะสูงกว่าการซื้อกองทุนหรือหุ้นปันผล แต่ผลตอบแทนและความเสี่ยงจะต่ำกว่าการเล่นหุ้นแบบเน้นรวยเต็มกำลัง (เช่น ซื้อหุ้นเติบโต หรือซื้อหุ้นที่ธุรกิจกำลังเปลี่ยนเร็ว)
ถ้าคุณลงทุนอสังหาแนวปล่อยเช่า คุณจะต้องคอยบริหารเงินสดตลอดทุกเดือน เพื่อหาเงินผ่อนธนาคารไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้ ความเสี่ยงของคุณจะอยู่ตรงนี้ ถ้าช่วงไหนคนเช่าเขาไม่จ่าย คุณอาจช็อตเงิน แล้วมีปัญหากับธนาคารได้
ซื้ออสังหาชิ้นแรกได้แต้มต่อ
จุดเด่นของการลงทุนอสังหาก็คือ เวลาคุณซื้ออสังหาชิ้นแรก ธนาคารจะปล่อยกู้ให้คุณแบบใจดีมาก
ดอกเบี้ยต่ำสุดๆ แถมผ่อนนาน จ่ายรายเดือนน้อย
เพราะเขามองว่าอสังหาชิ้นแรกที่คุณซื้อ จะเป็นที่อยู่อาศัย และคุณจะดูแลรักษามันมาก ไม่มีทางปล่อยให้ถูกยึด
ตรงนี้ก็เลยเป็นช่องว่างให้หลายคนซื้ออสังหาชิ้นแรกมาปล่อยเช่าครับ
คุณจะได้ดอกเบี้ยถูกเป็นพิเศษ แล้วก็เอาค่าเช่าไปผ่อนธนาคารง่ายๆ
คนที่ทำงานประจำมีเงินเดือนจะได้เปรียบตรงนี้มาก เพราะคุณจะมีสลิปเงินเดือนไปกู้อสังหามาปล่อยเช่าได้
ก็เลยมีหลายคนที่ใช้วิธี กู้ซื้ออสังหาหนึ่งชิ้น เพราะได้ดอกเบี้ยถูก แล้วที่เหลือไปลงทุนหุ้น แบบนี้ก็ได้เหมือนกันครับ
ลงทุนอสังหาผ่าน REIT
REIT (Real Estate Investment Trust) อ่านว่า “หรีด” เป็นการลงทุนอีกชนิดหนึ่งครับ
REIT จะมีอสังหาริมทรัพย์ก้อนหนึ่งอยู่ เช่น อาจเป็นห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือรีสอร์ท แล้วพอคุณซื้อไปคุณก็จะเป็นหนึ่งในเจ้าของอสังหานั้น ตามสัดส่วนที่คุณซื้อมา
ผมคิดว่าการลงทุน REIT ก็เหมือนหุ้นปันผลนั่นแหละครับ แต่คุณเป็นเจ้าของอสังหา ไม่ใช่เจ้าของบริษัท โดยเขาจะจ่ายเงินปันผลให้คุณสูง แต่ราคาจะไม่ค่อยขึ้น
คนที่อยากลงทุนอสังหาแต่ไม่อยากดูแลบริหาร ก็สามารถไปซื้อ REIT ได้ครับ วิธีซื้อก็เหมือนเราซื้อหุ้น แล้วผลตอบแทนก็จะคล้ายหุ้นปันผล ราคามันจะนิ่งๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนมาก เก็บกินไปยาวๆ ครับ
ข้อควรระวังก็คือ REIT มี 2 ชนิด
- Freehold คุณเป็นเจ้าของอสังหาชิ้นนั้นตลอดกาล แบบนี้ดี
- Leasehold คุณเป็นเจ้าของอสังหาแค่ 20-30 ปี (เซ้ง) แบบนี้ไม่ควรซื้อ
REIT บางตัว เจ้าของเดิมเขาคิดว่าคนไทยมีความรู้น้อย นักลงทุนบางคนรู้ไม่เท่าทัน เขาก็เลยใช้วิธีให้เช่า 30 ปีแทน แล้วพอครบกำหนดเวลา เขาก็จะเอาคืน ส่วนคุณก็ไม่เหลืออะไร
แบบนี้อย่าไปซื้อครับ ต้องระวัง โดยเฉพาะ REIT บางตัวที่จ่ายเงินปันผลสูงจนผิดปกติ เราต้องสงสัยไว้ว่าจะเป็น Leasehold ครับ
สรุปการลงทุนหุ้น vs อสังหา
ผลตอบแทน หุ้นชนิดรวยเร็วผันผวนสูง > อสังหาให้เช่า, หุ้น VI > ที่ดิน > หุ้นปันผล, กองทุนหุ้น
ความเสี่ยง หุ้นชนิดรวยเร็วผันผวนสูง > อสังหาให้เช่า > หุ้น VI, ที่ดิน > หุ้นปันผล, กองทุนหุ้น
ความนิ่งของราคา ราคาหุ้นขึ้นลงทุกวันน่าตกใจ แต่ราคาอสังหาจะนิ่งกว่า
หนี้สิน คุณไม่จำเป็นต้องเป็นหนี้ก็รวยหุ้นได้ แต่คุณต้องเป็นหนี้จึงจะลงทุนอสังหาได้ดี
ภาระต่อชีวิต คุณต้องคอยดูแลอสังหาที่ซื้อมา ทั้งคอยเก็บค่าเช่า ซ่อมแซมห้อง จัดการคนเช่าที่มีปัญหา หาคนเช่าใหม่แทนคนที่ออก และจัดการภาษีกับสรรพากร ในทางกลับกัน คุณไม่ต้องดูแลหุ้น แต่ต้องคอยติดตามข่าวสารและคิดวิเคราะห์อยู่ตลอด
ตกลงหุ้น vs อสังหา ลงทุนแบบไหนเหมาะกับคุณ
ไม่มีการลงทุนไหนที่เหมาะกับคนทุกคน เพราะทุกคนต่างมีความถนัด ความชอบ เป้าหมาย และข้อจำกัดต่างกัน
เวลาลงทุนคุณจึงต้องวางกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเอง แต่ผมมีหลักคร่าวๆ มาแนะนำดังนี้ครับ
- ถ้าไม่ชอบเรื่องพวกนี้ ให้ไปซื้อกองทุน เพราะจะมีมืออาชีพบริหารให้ เราจะสบายและลงทุนได้อย่างปลอดภัย แล้วเราก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เราชอบหรือถนัดดีกว่า
- อสังหาเหมาะกับคนที่ชอบลงมือทำ คุณจะต้องตามเก็บค่าเช่า ดูแลอสังหา และบริหารเงินสดกับหนี้สินเอง ข้อดีคือคุณเป็นคนบริหารการลงทุนด้วยตัวเอง คุณจะเห็นสภาพสิ่งที่คุณลงทุนทั้งหมด จะลงทุนได้ดีหรือไม่ทุกอย่างขึ้นกับตัวคุณ
- หุ้นเหมาะกับคนที่ชอบคิด เพราะคุณไม่ต้องลงมือทำเอง แต่คุณก็จะต้องวิเคราะห์ธุรกิจต่างๆ ให้ขาด ไม่อย่างนั้นจะลงทุนได้ไม่ดี อย่าลืมว่าความสำเร็จของคุณขึ้นอยู่กับคนอื่น (ผู้บริหารที่คุณควบคุมไม่ได้)
- หุ้นมีหลายชนิด ลองดูหุ้น 6 ชนิดของปีเตอร์ ลินช์ ว่าคุณชอบหุ้นแนวไหน ชนิดที่ขึ้นลงแรงจะทำให้คุณรวยได้เร็วที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่สุดเช่นกัน
- ถ้าคุณไม่อยากรับความเสี่ยงที่สูงมากไป อาจเลือกลงทุนในหุ้นปันผล หุ้น VI หรือ REIT
นอกจากนี้ คนที่อยากรู้วิธีลงทุนดีๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ลึกซึ้งทุกประเด็น บิงโกมีคอร์สลงทุนดีๆ ซึ่งจะสอนวิธีลงทุนอย่างละเอียด (สอนตั้งแต่พื้นฐานจนลงทุนเก่ง) ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งไปได้ตลอดชีวิต
หุ้น vs อสังหา ถ้าไม่แน่ใจ ลองดูทั้งคู่ไปเลยไหม?
อยากเรียนรู้ทั้งเรื่องหุ้นและอสังหา เพื่อลงทุนทั้งคู่?
บิงโกมีคอร์สดีๆ ที่จะสอนทุกอย่างที่คุณต้องรู้ในเวลาอันสั้น ตั้งแต่วิธีบริหารเงิน ออมเงิน วางแผนการเงิน พร้อมสอนวิธีนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยทั้งในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ ด้วยเทคนิคของนักลงทุนชั้นนำ ซึ่งจะร่นเวลาให้คุณบริหารเงินและลงทุนได้อย่างดี แทนที่จะใช้เวลาหลายปีค่อยๆ ศึกษาเอง
เริ่มต้นลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อโอกาสที่ดีกว่า
ต้นไม่ที่ร่มรื่นย่อมเริ่มจากเมล็ดพันธุ์ที่ดี การลงทุนที่ดีจึงอยู่ในเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโต มีนวัตกรรม และมี dynamics สูง
แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงมาก คนไทยเกิดน้อยลง สังคมกำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ ใครที่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจจะพอรู้ว่า “มืดมน” นักลงทุนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะเซียนหุ้นที่เข้าใจเรื่องนี้ จึงเริ่มเลี่ยงไปลงทุนต่างประเทศกันมากขึ้น
ถ้าคุณอยากหาโอกาสที่ดีที่สุดให้ตัวเอง คุณเองก็อาจศึกษาการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น แล้วคุณจะพบว่าโอกาสดีๆ มีอยู่มาก ผมมีบทความสอนวิธีลงทุนหุ้นอเมริกา หุ้นต่างประเทศให้คุณแล้ว (คุณจะได้หุ้นฟรีมูลค่าสูงสุด $1000 ด้วย)