“งบดุล” คือ งบที่บ่งบอกถึงทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทในวันที่ปิดงบ วันนี้เราจะมาดูกันว่าเราจะวิเคราะห์งบดุลได้ยังไง ต้องดูอะไรบ้าง
งบดุลเป็นงบการเงิน 1 ใน 3 ชนิดหลัก คุณอาจสนใจ วิธีอ่านงบการเงินง่ายๆ สำหรับมือใหม่ ซึ่งเป็นภาพที่ใหญ่กว่า หรือ 4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเริ่มลงทุน
ส่วนคนที่อยากลงทุนเก่งเร็วๆ บิงโกมีคอร์สลงทุนดีๆ ซึ่งจะสอนวิธีลงทุนอย่างละเอียด โดยใช้เทคนิคของนักลงทุนชั้นนำทั่วโลกมาสอนคุณอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ (สอนตั้งแต่พื้นฐานจนลงทุนเก่ง) ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งไปได้ตลอดชีวิต
เรามาเริ่มรู้จักงบดุลกันดีกว่าครับ
งบดุลบอกเราว่าใน “วันที่ปิดงบ” บริษัทมีทรัพย์สินและหนี้สินเท่าไร
งบดุลจะบ่งบอกถึง 3 สิ่ง
- สินทรัพย์/ทรัพย์สิน (Assets) คือสิ่งที่บริษัทมี เช่น เงินสด ที่ดิน โต๊ะ เก้าอี้
- หนี้สิน (Liabilities) คือสิ่งที่บริษัทติดค้างคนอื่นไว้ เช่น หนี้สินระยะสั้น หนี้สินระยะยาว
- ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) คือตัวเลขสมมุติว่าถ้าบริษัทเอาสินทรัพย์ไปจ่ายหนี้จนหมด บริษัทจะเหลือแค่ไหน ค่านี้บางทีก็จะเรียกว่า “ทุน” หรือ “ส่วนทุน” หรือ “ส่วนของเจ้าของ”
กฎที่คุณต้องจำคือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
เวลาอ่านงบดุล ให้มองว่าบริษัทเป็นเหมือนคนครับ คนเราจะมีสินทรัพย์กับหนี้สิน และถ้าเอามาลบกัน ก็จะเหลือเป็นสิ่งที่คนคนนั้นมีอยู่จริงๆ มันคือ “ส่วนของผู้ถือหุ้น” ที่จะเหลือหลังจากเอา “สินทรัพย์มา” หักลบ “ส่วนของเจ้าหนี้” ไปหมดแล้ว
เช่น ถ้าเรามีบ้านมูลค่า 5 ล้านบาท และเงินฝากธนาคาร 2 ล้านบาท โดยมีหนี้สิน 6 ล้านบาท
- ทรัพย์สินจะเป็น 5+2 = 7 ล้านบาท
- หนี้สินคือ 6 ล้านบาท
- ส่วนของผู้ถือหุ้น 7 – 6 = 1 ล้านบาท นี่คือเงินจริงๆ ที่เรามี หลังหักหนี้สินแล้ว
สินทรัพย์ แบ่งง่ายๆ เป็นระยะสั้นกับระยะยาว
- สินทรัพย์ระยะสั้น คือสิ่งที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย มีอีกชื่อว่า “สินทรัพย์หมุนเวียน” เช่น เงินสด สินค้าคงคลัง ลูกหนี้การค้า หุ้นที่บริษัทซื้อไว้ (บริษัทก็เล่นหุ้นได้เหมือนคนนะเออ)
- สินทรัพย์ระยะยาว คือสิ่งที่ต้องใช้เวลาเกิน 1 ปีในการเปลี่ยนเป็นเงินสด เช่น ที่ดิน โรงงาน รถยนต์ อาคาร เครื่องจักร เป็นต้น
หนี้สิน แบ่งเป็นระยะสั้นกับระยะยาว เช่นกัน
- หนี้สินระยะสั้น คือหนี้ที่ต้องจ่ายภายใน 1 ปี มีอีกชื่อว่า “หนี้สินหมุนเวียน” เช่น เจ้าหนี้การค้า เงินกู้ระยะสั้น
- หนี้สินระยะยาว คือหนี้ที่ต้องจ่ายในเวลาเกิน 1 ปี เช่น เงินกู้ระยะยาว
หนี้สินจะบอกเราสองอย่างเกี่ยวกับบริษัท อย่างแรกคือประสิทธิภาพ บริษัทที่กู้เงินมาทำธุรกิจเยอะแสดงว่าไม่มีประสิทธิภาพ อย่างที่สองคือความเสี่ยง ถ้าบริษัทมีหนี้สินเยอะ หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมา บริษัทขายของไม่ได้ ก็อาจไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ได้
สำหรับ ส่วนของผู้ถือหุ้น ในการวิเคราะห์เบื้องต้นจริงค่านี้จะไม่สำคัญมากครับ เพราะค่านี้เป็นการบอก “อดีต” ว่าในอดีตบริษัทเคยลงทุนไปเท่าไร (เงินลงทุนจะเท่ากับทรัพย์สิน – หนี้สิน ซึ่งแสดงออกมาเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น) แต่เงินลงทุนในอดีตนั้นไม่สำคัญ เราควรมองไปที่อนาคตมากกว่า ซึ่งส่วนของผู้ถือหุ้นบอกอะไรไม่ได้มาก
- บางกรณีที่บริษัทใกล้เจ๊ง นักลงทุนบางคนจะดูส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อดูว่าถ้าบริษัทต้องเลิกกิจการแล้วจะมีเงินเหลือมาคืนผู้ถือหุ้นเท่าไร
ดูตัวอย่างกันดีกว่า อันนี้เป็นงบดุลของบรัษัทไทยออยล์ (TOP) ในปี 2017-2020 จากเว็บไซต์ investing.com นะครับ
เวลาดูงบดุล ให้ดูแยก 3 ตัวเลยนะครับ (สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น) โดยผมคั่นด้วยหยึกหยักสีแดงให้แล้ว
เวลาคุณอ่านตาราง สังเกตนะครับว่าบางบรรทัดมันจะเว้นเข้าไปจากบรรทัดก่อนหน้า บรรทัดที่เว้นเข้าไปนั่นหมายถึง “เป็นส่วนหนึ่ง” ของบรรทัดบน เช่น ถ้าคุณไปดูตรง “หนี้สิน” เขาจะมีหนี้สินระยะยาวรวม แล้วอีก 2 บรรทัดถัดมาจะย่นเข้าไป แสดงว่าอีก 2 บรรทัดถัดมานั้นเป็นส่วนหนึ่งของ “หนี้สินระยะยาวรวม”
สินทรัพย์จะแยกเป็นสินทรัพย์ระยะสั้นกับระยะยาว ซึ่งพอเอามาบวกกันจะได้สินทรัพย์รวม
- สินทรัพย์ระยะสั้น เขาใช้อีกชื่อว่า “สินทรัพย์สภาพคล่อง” ซึ่งเหมือนกัน
- บรรทัด “สินทรัพย์สภาพคล่องรวม” จะอยู่บนสุด แล้วเขาค่อยแยกย่อยอีกที
- เขาไม่มีการรวม “สินทรัพย์ระยะยาว” ให้เรา แต่กระจายหลายบรรทัดออกมาเลย
- พอเอา “สินทรัพย์สภาพคล่องรวม” รวมกับสินทรัพย์ย่อยอื่นๆ ก็จะได้สินทรัพย์รวม
หนี้สินก็จะแยกเป็นระยะสั้นกับระยะยาว พอเอามาบวกกันจะได้หนี้สินรวม
- หนี้สินระยะสั้น เขาใช้อีกชื่อว่า “หนี้สินหมุนเวียน” ซึ่งเหมือนกัน
- บรรทัด “หนี้สินหมุนเวียนรวม” จะอยู่บนสุด แล้วเขาค่อยแยกย่อยอีกที
- เขาไม่มีการรวม “หนี้สินระยะยาว” ให้เรา แต่กระจายหลายบรรทัดออกมาเลย
- พอเอา “หนี้สินหมุนเวียนรวม” รวมกับหนี้สินย่อยอื่นๆ ก็จะได้หนี้สินรวม
ส่วนของผู้ถือหุ้น ไม่ค่อยต้องดูมาก สังเกตว่าเท่ากับสินทรัพย์ – หนี้สิน ตามกฎ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น ที่เราพูดถึงด้านบน
ลูกหนี้การค้า = สินทรัพย์, เจ้าหนี้การค้า = หนี้สิน
ในงบดุล คุณจะเห็น “เจ้าหนี้การค้า” กับ “ลูกหนี้การค้า” ซึ่งเป็นรายการสำคัญครับ
- ลูกหนี้การค้าเป็นสินทรัพย์ รายการนี้เกิดจากลูกค้าซื้อของแล้วยังไม่จ่าย ลูกค้าจึงเป็นหนี้เรา เป็นเหมือน “สินทรัพย์” ที่ในอนาคตจะเปลี่ยนเป็นเงินได้
- เช่น ลูกค้ามาซื้อรถแล้วขอผ่อน ลูกค้าซื้อไอโฟนแล้วขอผ่อน
- ถ้าบริษัทมีลูกหนี้การค้าเยอะ แสดงว่าบริษัทมีอำนาจต่อรองต่ำ ลูกค้าซื้อก่อนจ่ายทีหลังแต่คุณก็ต้องยอม
- ถ้าลูกหนี้การค้าสูงกว่าปีก่อนๆ มีแนวโน้มว่าบริษัทเริ่มมีปัญหา
- สมมุติว่าบริษัทขายของได้ แต่ลูกค้ายังไม่จ่ายเงิน ขอติดไว้ก่อน บริษัทก็จะมี “ลูกหนี้การค้า” เยอะ แล้วอยู่มาวันหนึ่งถ้าลูกค้าเบี้ยวหนี้คุณ สินทรัพย์ก้อนนี้จะกลายเป็น 0
- เจ้าหนี้การค้าเป็นหนี้สิน รายการนี้เกิดจากคุณไปซื้อของคนอื่นแล้วคุณยังไม่จ่าย คุณจึงเป็นหนี้เขา
- เช่น คุณสั่งสินค้าจากซัพพลายเออร์แล้วจะจ่ายในอีก 3 เดือน
- ถ้าบริษัทมีเจ้าหนี้การค้าเยอะ หลายคนคิดว่าไม่ดี แต่ที่จริงดีครับ เพราะแสดงว่าบริษัทมีอำนาจต่อรองสูง จ่ายเงินช้าแต่คนอื่นก็ต้องยอม ทำให้บริษัทมีเงินสดเหลือไปทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น
สินค้าคงคลัง = สินทรัพย์
ถ้าบริษัทซื้อสินค้ามาเก็บไว้ก่อน แล้วในอนาคตจะเอาไปขาย ก็จะมาอยู่ในรูปสินทรัพย์ “สินค้าคงคลัง”
เช่น บริษัทซื้อกะละมังมาวางขายในร้าน กะละมังก็จะถูกนับเป็นสินค้าคงคลัง
ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า = สินทรัพย์
บางบริษัทจะจ่ายค่าบริการล่วงหน้า 1 ปี หรือหลายปี เช่น
- จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือให้พนักงานล่วงหน้า 1 ปี
- จ่ายค่าบริการ IT ล่วงหน้า 3 ปี
ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจะถูกนับเป็นสินทรัพย์ เพราะเราสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต (ได้รับบริการ)
ค่าเสื่อมราคาสะสม = สินทรัพย์ติดลบ
ถ้าบริษัทมีที่ดิน โรงงาน เครื่องจักร พวกนี้จะเป็นสินทรัพย์ใช่ไหมครับ
แต่โรงงานกับเครื่องจักร ใช้ไปก็เก่า ดังนั้นบริษัทจะต้องมี “ค่าเสื่อมราคา” ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายทุกปี อยู่ในงบกำไรขาดทุน (อ่านรายละเอียดเรื่องค่าเสื่อมราคาในบทความ วิธีอ่านงบกำไรขาดทุนง่ายๆ)
แต่เพื่อให้คุณไม่ลืม เขาจึงเอาค่าเสื่อมราคาพวกนี้มาจดไว้ แล้วหักจากค่าเครื่องจักร บันทึกไว้ในงบดุล เช่น สมมุติว่าคุณซื้อเครื่องจักรมา 100
ปี 1 จ่ายค่าเสื่อมราคา 20
- งบกำไรขาดทุนมีค่าใช้จ่าย 20
- งบดุลมีสินทรัพย์ = เครื่องจักร 100, ค่าเสื่อมราคาสะสม 20 ➝ หักแล้วเครื่องจักรเหลือ 80
ปี 2 จ่ายค่าเสื่อมราคา 20
- งบกำไรขาดทุนมีค่าใช้จ่าย 20
- งบดุลมีสินทรัพย์ = เครื่องจักร 100, ค่าเสื่อมราคาสะสม 40 ➝ หักแล้วเครื่องจักรเหลือ 60
ปี 3 จ่ายค่าเสื่อมราคา 20
- งบกำไรขาดทุนมีค่าใช้จ่าย 20
- งบดุลมีสินทรัพย์ = เครื่องจักร 100, ค่าเสื่อมราคาสะสม 60 ➝ หักแล้วเครื่องจักรเหลือ 40
ปี 4 จ่ายค่าเสื่อมราคา 20
- งบกำไรขาดทุนมีค่าใช้จ่าย 20
- งบดุลมีสินทรัพย์ = เครื่องจักร 100, ค่าเสื่อมราคาสะสม 80 ➝ หักแล้วเครื่องจักรเหลือ 20
ปี 5 จ่ายค่าเสื่อมราคา 20
- งบกำไรขาดทุนมีค่าใช้จ่าย 20
- งบดุลมีสินทรัพย์ = เครื่องจักร 100, ค่าเสื่อมราคาสะสม 100 ➝ หักแล้วเครื่องจักรเหลือ 0
ปี 6 ไม่เหลือให้หักแล้ว
- งบกำไรขาดทุนไม่เปลี่ยน
- งบดุล เหมือนปีก่อน = เครื่องจักร 100, ค่าเสื่อมราคาสะสม 100 ➝ หักแล้วเครื่องจักรเหลือ 0
สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน
คือสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สิ่งของ เช่น
- ลิขสิทธิ์
- สิทธิบัตร
- สิทธิการเช่า
- เครื่องหมายการค้า
ค่าความนิยม
“ค่าความนิยม” (Goodwill) เป็นสินทรัพย์ชนิดหนึ่ง
มันคือการบันทึก “คุณค่าที่จับต้องไม่ได้” ของธุรกิจออกมาเป็นตัวเงิน เช่น ความน่าเชื่อถือ แบรนด์ ฯลฯ
และเนื่องจากมันจับต้องไม่ได้ เราจึงประเมินได้ยากว่า “ค่าความนิยม” ที่บันทึกเอาไว้นั้นเหมาะสมหรือเปล่า
เวลาวิเคราะห์งบแล้วคุณเจอค่าความนิยม คุณอาจคิดเสียว่ามัน “ไม่มี” เลยก็ได้ โดยการเอาไปหักจากตัวสินทรัพย์รวม
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับค่าความนิยมเพิ่มได้ที่นี่ครับ
เงินกู้เป็นการเปลี่ยนรูปสินทรัพย์ ดอกเบี้ยเป็นค่าใช้จ่าย
เวลาบริษัทกู้เงิน จะส่งผลต่องบดุล 2 ฝั่ง
- เงินสดในธนาคารเพิ่ม (สินทรัพย์เพิ่ม)
- หนี้สินเพิ่มเป็นจำนวนเท่ากัน
เช่น ถ้าบริษัทกู้เงิน 100 ก็จะมีเงินเพิ่ม 100 พร้อมหนี้สินเพิ่ม 100
เวลาบริษัทจ่ายเงินคืน คราวนี้จะยุ่งยากขึ้น เพราะเงินที่จ่ายคืนจะมี 2 ส่วน คือเงินต้น กับดอกเบี้ย
การจ่ายเงินต้นจะส่งผลแค่งบดุล เงินสดในธนาคารหายไป พร้อมกับหนี้สินหายไป (เหมือนตอนกู้)
แต่การจ่ายดอกเบี้ย จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ มันจึง
- ถูกคิดเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน
- ส่งผลต่องบดุล โดยไปลดเงินสดและส่วนของผู้ถือหุ้นในจำนวนเท่ากัน
เช่น ถ้าบริษัทจ่ายเงินต้นคืน 100 พร้อมดอกเบี้ย 10
การจ่ายเงินต้นจะส่งผลกับงบดุลแบบตรงข้ามกับตอนกู้ เงินลด 100 หนี้ลด 100
ดอกเบี้ยจะเป็นค่าใช้จ่าย 10 ในงบกำไรขาดทุน
นอกจากนี้ ดอกเบี้ยจะไปลดเงิน 10 ในสินทรัพย์ และลดส่วนของผู้ถือหุ้นลงอีก 10 ในเวลาเดียวกัน
ระวัง!…งบการเงินไม่ใช่ทั้งหมดในการวิเคราะห์ธุรกิจ
หลายคนที่สนใจเรียนรู้เรื่องงบการเงิน อาจตั้งใจไว้ว่าพออ่านงบการเงินเป็น ก็จะสามารถมองธุรกิจได้เฉียบขาด วิเคราะห์หุ้นได้เก่ง และจะลงทุนได้อย่างประสบความสำเร็จ
นี่เป็นความเข้าใจผิดที่อันตรายมากครับ เพราะแท้ที่จริงแล้วงบการเงินเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น หุ้นบางตัวงบออกมาดี แต่ราคาลงไปเรื่อยๆ นั่นเพราะการลงทุนต้องมีมากกว่าแค่ดูงบการเงิน คุณจะต้องเข้าใจลักษณะของตัวธุรกิจงทุนจริง เข้าใจตลาดหุ้น มีวิธีบริหารความเสี่ยง และมีกลยุทธ์การลงทุนที่ถูกต้องด้วย
คุณสามารถศึกษาสิ่งเหล่านี้เพิ่มเองได้จากหนังสือ โดยความรู้ที่ดีที่สุดในการลงทุนมักอยู่ในหนังสือ เพราะหนังสือเป็นช่องทางที่เราจะเข้าถึงแนวคิดในการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำของโลกได้ง่ายที่สุด ไม่มีนักลงทุนระดับโลกคนไหนจะมาอธิบายเทคนิคของตัวเองอย่างละเอียดในยูทูป แต่ถ้าเขาอยากถ่ายทอดจริงๆ เขามักเขียนเป็นหนังสือไปเลย
ที่จริงนักลงทุนไทยเก่งๆ ก็เรียนรู้แนวคิดของนักลงทุนชั้นนำในโลกจากหนังสือนี่แหละครับ ผมกล้าบอกเลยว่านักลงทุนไทยทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนอ่านหนังสือมาเยอะมาก
ผมได้สรุปหนังสือลงทุนดีๆ ที่ควรอ่าน ให้คุณแล้วครับ
แต่ปัญหาของหลายๆ คนคือ หนังสือแต่ละเล่มนั้นใช้เวลาอ่านเยอะ แถมทำความเข้าใจยาก อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง กว่าจะอ่านครบแล้วเชื่อมโยงแต่ละเล่มเข้าด้วยกันก็กินเวลานาน (เล่มนึงบางทีอ่านเป็นสัปดาห์ เล่มหนาๆ ก็เป็นเดือน)
แนวคิดบางอย่างก็อยู่ในบริบทของต่างประเทศและเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน จึงยากที่จะทำความเข้าใจ บิงโกจึงมีคอร์สลงทุนที่ช่วยเรียบเรียงลำดับความคิดเรื่องการลงทุนทั้งหมดให้คุณ คอร์สนี้จะสอนคุณทุกเรื่องที่ต้องรู้ในการลงทุน ทั้งงบการเงิน การวิเคราะห์ธุรกิจ กลยุทธ์การลงทุน และวิธีมองภาพเศรษฐกิจ โดยเรียบจบลงทุนจริงได้เลย ดูรายละเอียดคอร์สด้านล่างได้เลยครับ
เรื่องราวร้านขายเป็ดของแจ็ค
แจ็คเป็นคนมีอันจะกิน พ่อแม่มีฐานะ แจ็คจะอยู่บ้านเฉยๆ ก็มีเงินใช้ เป็นชีวิตที่หลายคนได้แต่อิจฉา
แต่แจ็ครู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวเขา ชีวิตของเขาต้องมีอะไรมากกว่านั้น
แจ็คแสวงหาความท้าทาย เขามีความฝัน เขาอยากพิสูจน์ตัวเอง
นั่นทำให้แจ็คตัดสินใจเปิดร้านขายเป็ดย่าง โดยแจ็คจะใช้น้ำซอสสูตรลับที่คิดค้นโดยปู่ทวดและถ่ายทอดกันมาในตระกูล เขาจะย่างเป็ดด้วยสไตล์ผสมผสานแบบอิตาเลียนและเอธิโอเปีย พร้อมขายเป็ดรมควันชั้นหนึ่งที่เขาไปเรียนมาจากรายการเชฟกระทะเหล็กในยูทูป
เราจะมาดูกันว่า “งบดุล” ของแจ็คจะหน้าตายังไง
สังเกตให้ดีว่ากฎทางบัญชีจะถูกต้องเสมอ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
แจ็คไปจดทะเบียนบริษัท
พ่อให้เงินแจ็คมาจดทะเบียนบริษัท 1 ล้านบาท
สินทรัพย์: เงิน 1 ล้านบาทในธนาคาร
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1 ล้านบาท
แจ็คซื้อตู้เย็นราคา 20,000 บาท
การซื้อตู้เย็นเป็นแค่การเปลี่ยนรูปสินทรัพย์ จากเงินไปเป็นตู้เย็น ไม่เกิดเป็นกำไรหรือขาดทุนแต่อย่างใด
สิ่งที่เกิดขึ้น: เงิน 20,000 กลายเป็นตู้เย็น 20,000
สินทรัพย์: เงิน 980,000 ในธนาคาร + เครื่องจักร 20,000
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1 ล้านบาท
แจ็คซื้อเป็ดดิบมาเก็บไว้ 5,000 บาท
การซื้อเป็ดเป็นแค่การเปลี่ยนรูปสินทรัพย์ จากเงินไปเป็นเป็ด ไม่เกิดเป็นกำไรหรือขาดทุนแต่อย่างใด
สิ่งที่เกิดขึ้น: เงิน 5,000 กลายเป็นเป็ด 5,000
สินทรัพย์: เงิน 975,000 ในธนาคาร + เครื่องจักร 20,000 + สินค้าคงคลัง 5,000
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1 ล้านบาท
ลูกค้าซื้อเป็ดกิน 500 โดยต้นทุนเป็ด 100 และค่าซอส 50
มีการทำธุรกิจเกิดขึ้น การลงบัญชีจะส่งผลถึงงบการเงิน 2 จุดด้วยกัน นั่นคือ
- งบกำไรขาดทุน มีรายได้ 500 รายจ่าย 150 (ลองอ่านวิธีดูงบกำไรขาดทุนง่ายๆ)
- งบดุล เงินสดเพิ่มขึ้น 500 แต่เป็ดหายไป 100 ➝ จากนั้นเงินก็หายไปอีก 50 เป็นค่าซอส
สิ่งที่เกิดขึ้น: เงินเพิ่ม 450, เป็ดหาย 100, ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มเท่ากับส่วนต่าง (350)
สินทรัพย์: เงิน 975,450 ในธนาคาร + เครื่องจักร 20,000 + สินค้าคงคลัง 4,900
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1,000,350
แต่…ไม่ใช่แค่ดูงบการเงินแล้ววิเคราะห์หุ้นได้
อยากเลือกหุ้นถูกตัว วิเคราะห์ธุรกิจได้เฉียบขาด?
งบการเงินเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ธุรกิจ หุ้นบางตัวงบออกมาดี แต่ราคาลงไปเรื่อยๆ นั่นเพราะการลงทุนต้องมีมากกว่าดูงบการเงินเป็น บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณทุกเรื่องที่ต้องรู้ในการลงทุน ทั้งงบการเงิน การวิเคราะห์ธุรกิจ กลยุทธ์การลงทุน และวิธีมองภาพเศรษฐกิจ โดยเรียบจบลงทุนจริงได้เลย และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว
ลูกค้าสั่งเป็ดล็อตใหญ่ 10,000 โดยต้นทุนเป็ด 2,000 ค่าซอส 1,000 แต่ขอติดเงินไว้ก่อน
มีการทำธุรกิจเกิดขึ้น การลงบัญชีจะส่งผลถึงงบการเงิน 2 จุดด้วยกัน นั่นคือ
- งบกำไรขาดทุน มีรายได้ 10,000 รายจ่าย 3,000 (ลองอ่านวิธีดูงบกำไรขาดทุนง่ายๆ)
- งบดุล ลูกหนี้การค้าเพิ่ม 10,000 แต่เป็ดหายไป 2,000 ➝ จากนั้นเงินก็หายไปอีก 1,000 เป็นค่าซอส
สิ่งที่เกิดขึ้น: ลูกหนี้การค้าเพิ่ม 10000, เงินลด 1000, เป็ดหาย 2000, ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มเท่ากับส่วนต่าง (7,000)
สินทรัพย์: เงิน 974,450 ในธนาคาร + เครื่องจักร 20,000 + สินค้าคงคลัง 2,900 + ลูกหนี้การค้า 10,000
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1,007,350
เป็ดที่เก็บไว้เน่า คิดเป็นมูลค่า 2,000
การที่เป็ดเน่าก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ การลงบัญชีจะส่งผลถึงงบการเงิน 2 จุดด้วยกัน นั่นคือ
- งบกำไรขาดทุน มีรายจ่าย 2,000
- งบดุล เป็ดหายไป 2,000
สิ่งที่เกิดขึ้น: เป็ดหาย 2000, ส่วนของผู้ถือหุ้นลด 2000
สินทรัพย์: เงิน 974,450 ในธนาคาร + เครื่องจักร 20,000 + สินค้าคงคลัง 900 + ลูกหนี้การค้า 10,000
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1,005,350
ลูกค้าไม่จ่ายเงินที่ติดไว้ แล้วหายไปเลย โทรไปไม่รับสาย
ลูกค้าไม่จ่ายเงินก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ การลงบัญชีจะส่งผลถึงงบการเงิน 2 จุดด้วยกัน นั่นคือ…
- งบกำไรขาดทุน มีรายจ่าย 10,000 เพราะ “ลูกหนี้การค้า” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ จะถูกหักออก
- งบดุล ลูกหนี้การค้าหายไป 10,000
สิ่งที่เกิดขึ้น: ลูกหนี้การค้าหายไป 10000, ส่วนของผู้ถือหุ้นลด 10000
สินทรัพย์: เงิน 974,450 ในธนาคาร + เครื่องจักร 20,000 + สินค้าคงคลัง 900
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 995,350
ตู้เย็นเสีย ใช้แล้วไม่เย็น แต่จะทิ้งก็เสียดาย เลยเก็บไว้ก่อน
ตรงนี้จะมี “ค่าเสื่อมราคา” เกิดขึ้น ซึ่งจะเสื่อมแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับวิธีลงบัญชี ขึ้นอยู่กับการประเมินของนักบัญชี แต่เอาง่ายๆ ว่านักบัญชีอยากหักสัก 5,000 ละกันนะครับ ตรงนี้จะส่งผลถึงงบการเงิน 2 จุดด้วยกัน นั่นคือ…
- งบกำไรขาดทุน มีรายจ่าย 5,000 เป็นค่าเสื่อมราคา
- งบดุล ค่าเสื่อมราคาสะสมเพิ่มขึ้น 5,000
สิ่งที่เกิดขึ้น: ค่าเสื่อมราคาสะสมเพิ่มขึ้น 5000, ส่วนของผู้ถือหุ้นลด 5000
สินทรัพย์: เงิน 974,450 ในธนาคาร + [เครื่องจักร 20,000 แต่ค่าเสื่อมสะสม 5,000 สุทธิเหลือ 15,000] + สินค้าคงคลัง 900
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 990,350
แจ็คแอบเอาเงินไปใช้ 600,000 ซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่
แจ็คอยากได้มอเตอร์ไซค์แต่พ่อไม่ซื้อให้ แจ็คจึงยักยอกเอาจากเงินในธนาคารของบริษัท
แต่ถ้าแจ็คเอาเงินไปใช้เฉยๆ พอถึงเวลาปิดงบ เงินในธนาคารที่หายไป 600,000 เฉยๆ จะไปละเมิดกฎที่ว่า สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
ดังนั้น เงินจะหายไปเฉยๆ ไม่ได้ ถ้าเงินหายไปก็ต้องมีสินทรัพย์อย่างอื่นมาแทน เพื่อดุลให้สมการเท่ากันตามกฎ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ แจ็คจะต้องไปหาสินทรัพย์อย่างอื่นมาใส่ด้วย ในที่นี้แจ็คจะใส่ “เงินยืมจากตัวเอง” เข้าไปเป็นสินทรัพย์ชนิดใหม่ เสมือนกับว่าบริษัทเป็นเจ้าหนี้แจ็ค แล้วแจ็คก็จะจ่ายเงินคืนให้บริษัทสักวัน (วันไหนก็ไม่รู้ อาจเป็นอนาคตที่ไกลมากกกกก)
สิ่งที่เกิดขึ้น: เงินสดลดลง 600000, เงินยืมจากตัวเอง[สินทรัพย์] เพิ่มขึ้น 600000, ส่วนของผู้ถือหุ้นเท่าเดิม
สินทรัพย์: เงิน 374,450 ในธนาคาร + เครื่องจักรสุทธิ 15,000 + สินค้าคงคลัง 900 + เงินยืมจากตัวเอง[สินทรัพย์] 600,000
หนี้สิน: 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 990,350
ก่อนจะไปต่อ ผมอยากให้คุณสังเกตให้ดีว่าตอนนี้บริษัทขายเป็ดแทบไม่ได้ เงินลดลงจากตอนแรก 1 ล้านเหลือแค่ 3 แสนกับตู้เย็นเสียๆ หนึ่งใบ แต่ถ้าคุณไปดู “ส่วนของผู้ถือหุ้น” คุณจะยังพบว่ามันยังสวยอยู่ ยังเหลืออีกตั้งเกือบล้านสบายๆ
เวลาคุณอ่านงบดุล ไอ้เจ้า “ส่วนของผู้ถือหุ้น” จึงเป็นค่าที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ มันบอกอะไรไม่ได้มากเกี่ยวกับสถานการณ์จริงของบริษัท
แจ็คกู้เงินเพิ่ม 2 ล้าน
สิ่งที่เกิดขึ้น: เงินสดเพิ่มขึ้น 2 ล้าน, เงินกู้ระยะยาวเพิ่มขึ้น 2 ล้าน, ส่วนของผู้ถือหุ้นเท่าเดิม
สินทรัพย์: เงิน 2,374,450 ในธนาคาร + เครื่องจักรสุทธิ 15,000 + สินค้าคงคลัง 900 + เงินยืมจากตัวเอง[สินทรัพย์] 600,000
หนี้สิน: เงินกู้ระยะยาว 2,000,000
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 990,350
แจ็คเพิ่มทุนอีก 1 ล้าน
การเพิ่มทุนเป็นเหมือนการ “เติมเงิน” เข้าไป มักเกิดขึ้นเมื่อบริษัทอยากขยายธุรกิจเพิ่ม หรือบริษัททำธุรกิจเสียหายจนต้องการเงินมาอุดเพื่อให้รอด
เวลาบริษัทเพิ่มทุน ก็จะมีเงินก้อนใหม่มาให้ใช้ แต่แลกกับการที่บริษัทต้อง “ออกหุ้นเพิ่ม” ทำให้หุ้นทั้งหมดของบริษัทมีมากขึ้น ความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นเก่าก็จะลดลง (ตรงนี้ใครงง ลองอ่านบทความ หุ้นคืออะไร เพิ่มนะครับ)
สิ่งที่เกิดขึ้น: เงินสดเพิ่มขึ้น 1 ล้าน, ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 1 ล้าน
สินทรัพย์: เงิน 3,374,450 ในธนาคาร + เครื่องจักรสุทธิ 15,000 + สินค้าคงคลัง 900 + เงินยืมจากตัวเอง[สินทรัพย์] 600,000
หนี้สิน: เงินกู้ระยะยาว 2,000,000
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1,990,350
แจ็คสั่งซื้อเตาอบใหม่ 100,000 บาท แต่ติดไว้ก่อน ยังไม่จ่ายเงิน
แบบนี้เงินสดของบริษัทก็เท่าเดิม แจ็คจะมีเตาอบใหม่ แต่มี “เจ้าหนี้การค้า” เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้น: เครื่องจักรเพิ่มขึ้น 100000, เจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น 100000
สินทรัพย์: เงิน 3,374,450 ในธนาคาร + เครื่องจักรสุทธิ 115,000 + สินค้าคงคลัง 900 + เงินยืมจากตัวเอง[สินทรัพย์] 600,000
หนี้สิน: เงินกู้ระยะยาว 2,000,000 + เจ้าหนี้การค้า 100000
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1,990,350
แจ็คจ่ายหนี้ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 200,000 บาท
เดิมบริษัทมีเงินกู้ 2 ล้าน ถ้าคิดดอกเบี้ยสัก 10% ก็จะเป็น 200,000 นั่นเอง
อย่าลืมนะครับ การใช้คืนเงินต้นจะไม่นับเป็นกำไรขาดทุน แต่การจ่ายดอกเบี้ยคิดเป็นต้นทุนของธุรกิจ ดังนั้น…
- งบกำไรขาดทุน มีรายจ่ายดอกเบี้ย 200,000
- งบดุล เงินหายไป 300,000 เพื่อจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ย และจะไปสะท้อนที่หนี้สินกับส่วนของผู้ถือหุ้นด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้น: เงินลดลง 300000, เงินกู้ระยะยาวลดลง 100000, ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง 200000
สินทรัพย์: เงิน 3,074,450 ในธนาคาร + เครื่องจักรสุทธิ 115,000 + สินค้าคงคลัง 900 + เงินยืมจากตัวเอง[สินทรัพย์] 600,000
หนี้สิน: เงินกู้ระยะยาว 1,900,000 + เจ้าหนี้การค้า 100000
ส่วนของผู้ถือหุ้น: 1,690,350
ทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียด ของรายการต่างๆ ในงบดุลนะครับ ต่อไปเราจะมาดูวิธีวิเคราะห์งบดุลเบื้องต้นกัน
สัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity)
หน้าที่สำคัญของงบดุลก็คือ บอกเราว่าตอนนี้บริษัทมีสถานะทางการเงินอย่างไร
พูดอีกแง่ เราต้องการรู้ว่า “บริษัทมีหนี้สินเหมาะสมกับขนาดของมันหรือเปล่า”
ถ้าบริษัทเล็ก ก็มีหนี้สินได้น้อย
ถ้าบริษัทใหญ่ ก็มีหนี้สินได้เยอะ แต่ก็ไม่ควรเยอะมากเกินไป
ทุกอย่างมีขอบเขตของมัน ซึ่งวิธีดูแบบหนึ่งคือให้ดูสัดส่วน “หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” (Debt to Equity หรือ D/E)
ง่ายๆ ครับ งบดุลมันมี 3 ตัวใช่ไหม
- สินทรัพย์
- หนี้สิน (Debt)
- ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)
เอาสองตัวหลังมาหารกัน จะได้สัดส่วน D/E = Debt/Equity = หนี้สิน/ส่วนของผู้ถือหุ้น
ถ้าค่านี้เยอะ แสดงว่าบริษัทเป็นหนี้มากไป ซึ่งไม่ดี
แต่! การใช้สัดส่วนนี้ ต้องระวังดังนี้
- ธุรกิจแต่ละชนิด จะมีสัดส่วน D/E ต่างกัน เช่น บริษัทโรงไฟฟ้าจะต้องลงทุนสูง แต่ธุรกิจเสถียรมั่นคง คุณจึงพบว่าโรงไฟฟ้ามักมีสัดส่วน D/E สูง เพราะธุรกิจเขามั่นคงอยู่แล้ว กู้ได้เยอะไม่ต้องกลัว
- ค่า D/E จะคิดจาก “หนี้สิน” ซึ่งรวมหนี้สินทุกชนิด ตั้งแต่เจ้าหนี้การค้า หนี้สินระยะสั้น หนี้สินระยะยาว ฯลฯ ซึ่งมองดีๆ ก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผล เพราะเจ้าหนี้การค้าหรือหนี้สินระยะสั้นไม่น่าส่งผลต่อ “ความเสี่ยงด้านหนี้สิน” เท่าไร นักลงทุนบางคนจึงคำนวณ D/E จากหนี้สินระยะยาวเท่านั้น
ROE และ ROA บอกถึงประสิทธิภาพการทำกำไร
บางครั้งเราก็ดู “ประสิทธิภาพในการทำกำไร” ได้จากค่า ROE และ ROA
- ROE (Return on Equity) = กำไร/ส่วนของผู้ถือหุ้น
- ROA (Return on Assets) = กำไร/สินทรัพย์
ทั้งสองค่านี้บอกเราว่า บริษัทเอาเงินทุนที่มีไปทำกำไรได้แค่ไหน ยิ่งสูงยิ่งดี
ROE คิดกำไรเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็น “เงินทุนเพียวๆ” ที่เป็นของบริษัทจริงๆ แล้วเอาไปทำธุรกิจเพื่อหากำไร
- เนื่องจาก ROE บอกถึงกำไรเทียบเงินทุน มันจึงช่วยบอกว่าพอบริษัทมีกำไร จะเอากำไรนั้นไปขยายธุรกิจต่อได้เร็วแค่ไหน นั่นทำให้ ROE สะท้อนความเร็วในการโตของบริษัท และเป็นค่าที่นักลงทุนหลายคนสนใจ
- ดูคร่าวๆ ว่าถ้า ROE > 20 ถือว่าดี บริษัทมีศักยภาพในการโตสูง
ROA คิดกำไรเทียบกับสินทรัพย์ ซึ่งเป็น “เงินทุนบวกหนี้” ที่บริษัทเอาเงินทุนเดิมไปกู้มาเพิ่ม เพื่อไปทำธุรกิจหากำไร
- ROA บอกถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ ซึ่งไม่ได้บอกความเร็วในการเติบโตโดยตรง แต่โดยทั่วไปถ้าบริษัทใช้สินทรัพย์ได้ดี ก็จะโตง่ายกว่า
ดังนั้นคุณจะเห็นว่า ROE กับ ROA มันบอกสิ่งเดียวกัน ว่าบริษัทเอาสิ่งที่มีอยู่ไปทำกำไรได้แค่ไหน แต่ตัวนึงเอาหนี้มาคิด อีกตัวไม่คิด มองง่ายๆ ว่า ROE = ROA x ความเป็นหนี้
ปกตินักลงทุนจะดู ROE เพื่อบอกศักยภาพในการเติบโต และใช้ ROA คอนเฟิร์มว่าการที่ ROE สูงนั้นไม่ได้เกิดจากการกู้เงินมากเกินไป
บางบริษัทมี ROE สูง แต่ ROA ต่ำ แสดงว่าจริงๆ เขาทำธุรกิจไม่เก่ง แต่ใช้วิธีกู้เงินมาเยอะๆ ทำให้ดูเหมือนกำไรดี
โดยตอนเราวิเคราะห์ มีข้อควรระวังดังนี้ครับ
- กำไรมั่วได้ บางครั้งบริษัทขายของได้แต่เก็บเงินไม่ได้ เขาก็ยังคิดเป็นกำไร จึงทำให้ ROE/ROA เพี้ยน (อ่านเพิ่มเกี่ยวกับงบกำไรขาดทุนได้ที่นี่) คุณอาจปรับลดกำไรลงให้เป็นค่าที่เหมาะสมมากขึ้น หรือนักลงทุนบางคนก็ใช้วิธีดูกระแสเงินสดแทนไปเลย (อ่านเพิ่มเกี่ยวกับงบกระแสเงินสดได้ที่นี่)
- Asset มั่วได้ ที่จริงสินทรัพย์ของบริษัทไม่จำเป็นต้องมีมูลค่าตามตัวเลขทางบัญชี ต่อให้บัญชีลงว่า “ที่ดินแปลงนี้ราคาหมื่นล้าน” พอถึงเวลาขายจริง มันอาจขายได้ไม่ถึงหมื่นล้านก็ได้
- ในทางกลับกัน บางทีบริษัทลงบัญชีเป็น “การลงทุนในบริษัทลูก ABC” ซึ่งเป็นตัวเลขเมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนี้บริษัท ABC ใหญ่โตกว่าเดิมมาก เขาอาจยังไม่ได้ปรับตัวเลขให้สูงขึ้น
- Equity มั่วได้ เราดูกันไปแล้วในร้านขายเป็ดของแจ็ค ว่า “ส่วนของผู้ถือหุ้น” หรือ Equity มันมั่วได้ เพราะมันไม่ได้คิดถึงไส้ในว่าสินทรัพย์ของบริษัทเป็นยังไง
- ตัว Equity นั้นอิงกับ Asset (จากสมการ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น) ดังนั้นถ้าสินทรัพย์เพี้ยน ส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพี้ยนตาม
สรุป งบดุลแบบไหนเรียกว่าดี
พอเรารู้เรื่องงบดุลกันครบถ้วนแล้ว คุณคงมีคำถามว่า “สรุปต้องดูอะไร”
ผมจึงขอสรุปให้คุณดังนี้
- หนี้ไม่เยอะ ดูได้จากสัดส่วน D/E ไม่สูงเกินไป
- ROE สูง ถ้าเกิน 20% ยิ่งดี
- ROA สูง เพื่อบ่งบอกประสิทธิภาพ
- เงินสดเยอะ ในบรรดาสินทรัพย์ทุกตัว “เงินสด” คือตัวที่เชื่อได้มากที่สุด เพราะสินทรัพย์อื่นๆ จะมีมูลค่าขึ้นกับสถานการณ์ จึงไม่ชัดเจน แต่เงินถึงยังไงก็คือเงิน ค่าของมันมีอยู่เท่านั้นแน่นอน ดังนั้นถ้าบริษัทมีเงินสดเยอะ จะดีมาก
- สัดส่วนของ “ลูกหนี้การค้า” เทียบกับยอดขาย ไม่เพิ่มจากปีก่อนๆ ไม่งั้นแสดงว่าบริษัทขายของได้ แต่เริ่มเก็บเงินไม่ได้ ซึ่งส่งสัญญาณไม่ดี
ถ้าบริษัทไหนมีครบทั้ง 5 ข้อ จะยอดเยี่ยมมาก
แต่ส่วนใหญ่แล้วบริษัทก็เหมือนคน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เราจึงต้องชั่งน้ำหนักว่า ข้อดีของเขา ดีพอจะชดเชยข้อเสียหรือไม่
เช่น บริษัทอาจมีเงินสดสูง หนี้น้อย แต่ ROE ต่ำ แบบนี้เราก็ต้องมาชั่งน้ำหนักว่าอะไรสำคัญกว่า และนอกจากนี้ เรายังต้องดูงบการเงินตัวอื่นประกอบด้วย
สุดท้าย งบดุลเป็นงบการเงิน 1 ใน 3 ชนิดหลัก คุณอาจสนใจ วิธีอ่านงบการเงินง่ายๆ สำหรับมือใหม่ ซึ่งเป็นภาพที่ใหญ่กว่าอีกด้วย
ส่วนคนที่อยากลงทุนเก่งเร็วๆ บิงโกมีคอร์สลงทุนดีๆ ซึ่งจะสอนวิธีลงทุนอย่างละเอียด โดยใช้เทคนิคของนักลงทุนชั้นนำทั่วโลกมาสอนคุณอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ (สอนตั้งแต่พื้นฐานจนลงทุนเก่ง) ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งไปได้ตลอดชีวิต
เริ่มต้นลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อโอกาสที่ดีกว่า
ต้นไม่ที่ร่มรื่นย่อมเริ่มจากเมล็ดพันธุ์ที่ดี การลงทุนที่ดีจึงอยู่ในเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโต มีนวัตกรรม และมี dynamics สูง
แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงมาก คนไทยเกิดน้อยลง สังคมกำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ ใครที่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจจะพอรู้ว่า “มืดมน” นักลงทุนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะเซียนหุ้นที่เข้าใจเรื่องนี้ จึงเริ่มเลี่ยงไปลงทุนต่างประเทศกันมากขึ้น
ถ้าคุณอยากหาโอกาสที่ดีที่สุดให้ตัวเอง คุณเองก็อาจศึกษาการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น แล้วคุณจะพบว่าโอกาสดีๆ มีอยู่มาก ผมมีบทความสอนวิธีลงทุนหุ้นอเมริกา หุ้นต่างประเทศให้คุณแล้ว (คุณจะได้หุ้นฟรีมูลค่าสูงสุด $1000 ด้วย)
สำหรับคนที่คิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศไกลตัวเกินไป อยากซื้อกองทุนให้เขาไปลงทุนหุ้นต่างประเทศแทนเรา นั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีมากครับ แต่ก่อนหน้านั้น ผมแนะนำให้อ่าน ซื้อกองทุนต่างประเทศยังไง ให้กำไรมากขึ้น 100% ซึ่งผมเขียนไว้ให้คุณโดยเฉพาะเลยครับ
ไม่ใช่แค่ดูงบการเงินแล้ววิเคราะห์หุ้นได้
อยากเลือกหุ้นถูกตัว วิเคราะห์ธุรกิจได้เฉียบขาด?
ท้ายที่สุด งบการเงินก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์หุ้น การลงทุนให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีความรู้มากกว่าการดูงบการเงินง่ายๆ ไม่กี่บรรทัด
บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่คุณอาจจะสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณทุกเรื่องที่ต้องรู้ในการลงทุน ทั้งงบการเงิน การวิเคราะห์ธุรกิจ กลยุทธ์การลงทุน และวิธีมองภาพเศรษฐกิจ โดยออกแบบให้เหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” เรียบจบลงทุนจริงได้เลย และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว