เมื่อปี 1989 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 39,916 จุด จนถึงปี 2020 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 23,000 จุด
ถ้าคุณลงทุนหุ้นญี่ปุ่นที่จุดสูงสุดเมื่อ 30 ปีก่อน มาถึงวันนี้คุณจะขาดทุนไป 40%
สิ่งที่น่ากลัวคือ มีความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นไปแล้ว อาจเกิดกับประเทศไทยในไม่ช้า
เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตต่ำลงเรื่อยๆ จนล่าสุด ไทยเติบโตเพียง 2.4% และไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นในเร็ววัน
ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2013 จนถึง 2020 คิดแล้วติดลบ เท่ากับว่าคุณถือหุ้นมา 7 ปี ราคากลับต่ำลง
ผมเคยบอกว่าคนลงทุน vs ไม่ลงทุน ชีวิตจะต่างกันมาก แต่คุณจะทำยังไงดี เมื่อต้องอาศัยอยู่ในประเทศที่ดูแล้วอนาคตไม่สดใสเช่นนี้?
เทคโนโลยีกับสังคมผู้สูงอายุ
มีสองสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยอาจหยุดชะงักอยู่กับที่นานเกิน 10 ปี
ข้อแรก เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถข้ามพรมแดนได้
ในอดีต ถ้าต่างชาติอยากทำธุรกิจในไทย ก็ต้องมาลงทุนในไทย จ้างคนไทย เสียภาษีให้รัฐบาลไทย เงินส่วนนี้ก็หมุนกลับมาให้คนไทย
แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่มันเป็นออนไลน์ แสดงว่าต่างชาติไม่จำเป็นต้องลงทุนมากมาย ก็โกยเงินจากคนไทยไปได้ง่ายๆ
เงินทุกบาทที่ผมลงโฆษณา Facebook คือเงินที่ผมไม่ได้จ่ายให้บริษัทโฆษณาไทย และจะไม่กลับมาไทยอีก
ผมไม่รู้ว่า Facebook สาขาไทยมีคนถึง 20 คนหรือเปล่า แต่พนันได้ว่าเขาโกยเงินไปปีละเป็นพันล้าน (และในอนาคตคงไม่พ้นหมื่นล้าน)
และคนไทยที่เขาจ้างไม่กี่สิบคนนั้น ก็ไม่ใช่ตัวหลัก แต่มีหน้าที่ทำการตลาดเพื่อรีดเงินจากคนไทยออกไปอีก
และไม่ใช่แค่โฆษณา Facebook แต่ยังมีหนัง เกม เพลง โปรแกรม ค่าจดเว็บไซต์ และอื่นๆ ที่คนทำนั่งอยู่ในต่างประเทศ และรับเงินจากคนไทยสบายๆ ทั้งที่เขาไม่เคยเข้ามาเหยียบไทยด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นแบบนี้ ความมั่งคั่งของธุรกิจไทย ก็ถูกย้ายไปอยู่กับบริษัทต่างชาติ ทั้งจีนและอเมริกา ในขณะที่บริษัทไทยและเศรษฐกิจไทยก็ยากที่จะเติบโต
เหตุผลข้อถัดมาที่เศรษฐกิจไทยอาจหยุดชะงักก็คือ คนไทยแก่ตัวลง
คนสูงอายุย่อมทำงานได้น้อยลง บริโภคน้อยลง อะไรๆ ก็น้อยลง
แรกเริ่มก็เป็นคนใกล้ตัวเรา แล้วก็มาที่เศรษฐกิจ และสะท้อนออกทางราคาหุ้น
เหมือนที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นขาดทุนมาแล้ว 30 ปี…
ทางออกของคนอยากรอด
ข้อดีของไทยก็คือ ไทยไม่ใช่ญี่ปุ่น
ประเทศไทยยังไม่ได้พัฒนาเต็มรูปแบบเหมือนญี่ปุ่น จึงยังมีศักยภาพที่จะเจริญได้อีก นอกจากนี้เรายังมีคนพม่าและกัมพูชาอพยพเข้ามาช่วยเสริมเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีบริษัทจีนที่จะย้ายฐานการผลิตมาไทย ประเทศไทยยังอาจกลับมาเติบโตได้อีกครั้งก็ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้อนาคตจริง ข้อดีที่ผมพูดมาอาจเกิดขึ้นจริง แต่มันอาจมีน้ำหนักไม่พอจะดึงไทยออกจากการแก่ตัวก็ได้
เพื่อลดความเสี่ยงที่เงินของคุณจะถูก “แช่แข็ง” ค้างไว้เป็นสิบๆ ปี เราจึงควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนกับหลายๆ อย่างที่มีโอกาสทำกำไรสูงด้วย
กันไว้ดีกว่าแก้ครับ โดยผมสรุปการลงทุนที่คุณอาจศึกษาเพิ่มไว้ 3 ชนิด ดังนี้
- ลงทุนในหุ้นปันผล
- ลงทุนในเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต
- ลงทุนในธุรกิจส่งออก
1. ลงทุนในหุ้นปันผล
หุ้นปันผลเป็นหุ้นที่คุณลงทุนโดย “ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าบริษัทจะโต” แต่คุณลงทุนเพราะมันจ่ายเงินปันผลให้สูง เพราะงั้นถ้าเศรษฐกิจอยู่กับที่ บริษัทไม่โต คุณก็ไม่เจ็บครับ ขอให้บริษัทจ่ายปันผลงามๆ ก็พอ
ลองหาบริษัทที่เสถียร ผลิตสินค้าจำเป็นที่จะไม่ถูกเทคโนโลยีเข้ามารบกวน และจ่ายเงินปันผล 4-7% ก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระดับหนึ่ง
ผมมีเทคนิคเลือกหุ้นปันผลง่ายๆ อ่านต่อได้ในบทความนี้ครับ
2. ลงทุนในเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต
ถ้าเศรษฐกิจไทยไม่โต คุณก็แค่โยกเงินไปลงทุนในเศรษฐกิจที่โต เช่น อเมริกา จีน และเวียดนาม
ถ้าคุณไม่ถนัดลงทุนเอง ก็สามารถซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้นประเทศเหล่านี้ได้ครับ
คนที่อยากหาโอกาสที่ดีที่สุดให้ตัวเองก็อาจศึกษาการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น แล้วคุณจะพบว่าโอกาสดีๆ มีอยู่มากจริงๆ ผมมีบทความสอนวิธีลงทุนหุ้นต่างประเทศให้คุณแล้ว เข้าไปดูกันได้เลยครับ
สำหรับคนที่คิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศไกลตัวเกินไป อยากซื้อกองทุนให้เขาไปลงทุนหุ้นต่างประเทศแทนเรา นั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีมากครับ แต่ก่อนหน้านั้น ผมแนะนำให้อ่าน ซื้อกองทุนต่างประเทศยังไง ให้กำไรมากขึ้น 300% ซึ่งผมเขียนไว้ให้คุณโดยเฉพาะเลยครับ
3. ลงทุนในธุรกิจส่งออก
ลูกค้าของธุรกิจส่งออกไม่ได้อยู่ในไทย ดังนั้นต่อให้เศรษฐกิจไทยไม่ดี คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าบริษัทจะไม่โต ตราบใดที่ฐานลูกค้าของบริษัทในต่างประเทศยังเติบโต ธุรกิจส่งออกในไทยก็ยังโตต่อไปได้
ธุรกิจส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทยคือการท่องเที่ยว มันคือการส่งออกบริการและความบันเทิงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติครับ โดยคุณอาจเลือกดูหุ้นโรงแรม สนามบิน หรือสายการบิน ซึ่งต่างก็จะได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
เริ่มต้นลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อโอกาสที่ดีกว่า
ต้นไม่ที่ร่มรื่นย่อมเริ่มจากเมล็ดพันธุ์ที่ดี การลงทุนที่ดีจึงอยู่ในเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโต มีนวัตกรรม และมี dynamics สูง
แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงมาก คนไทยเกิดน้อยลง สังคมกำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ ใครที่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจจะพอรู้ว่า “มืดมน” นักลงทุนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะเซียนหุ้นที่เข้าใจเรื่องนี้ จึงเริ่มเลี่ยงไปลงทุนต่างประเทศกันมากขึ้น
ถ้าคุณอยากหาโอกาสที่ดีที่สุดให้ตัวเอง คุณเองก็อาจศึกษาการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น แล้วคุณจะพบว่าโอกาสดีๆ มีอยู่มาก ผมมีบทความสอนวิธีลงทุนหุ้นอเมริกา หุ้นต่างประเทศให้คุณแล้ว (คุณจะได้หุ้นฟรีมูลค่าสูงสุด $1000 ด้วย)
สำหรับคนที่คิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศไกลตัวเกินไป อยากซื้อกองทุนให้เขาไปลงทุนหุ้นต่างประเทศแทนเรา นั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีมากครับ แต่ก่อนหน้านั้น ผมแนะนำให้อ่าน ซื้อกองทุนต่างประเทศยังไง ให้กำไรมากขึ้น 100% ซึ่งผมเขียนไว้ให้คุณโดยเฉพาะเลยครับ
เรียนคอร์สลงทุน “นักลงทุนมือหนึ่งของโลก”
อยากศึกษาเรื่องการลงทุนแต่เริ่มไม่ถูก?
บิงโกมีคอร์สสอนลงทุนที่จะคุณอาจสนใจ คอร์สนี้จะสอนคุณตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูง มือใหม่เรียนจบก็พร้อมลงทุนจริงได้เลย
คอร์สนี้ถูกออกแบบให้พิเศษกว่าคอร์สลงทุนทั่วไป เพราะมาจากหนังสือลงทุนของเซียนหุ้นระดับโลก ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, เบนจามิน เกรแฮม, ดร.นิเวศน์ และอื่นๆ จนเหมือน “นักลงทุนระดับโลกมาสอนคุณเอง” ทุกเล่มที่เราคัดมาคือหนังสือลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “ของจริง” และจะร่นเวลาให้คุณลงทุนได้เก่งกาจอย่างรวดเร็ว