The Obstacle is the Way เป็นหนังสือ how to ที่จะช่วยให้คุณผู้อ่านเอาชนะทุกอุปสรรคและความท้าทาย รวมไปถึงเปลี่ยนเอาเรื่องยุ่งยากพวกนั้นให้กลายเป็นข้อได้เปรียบ
ผู้เขียน Ryan Holiday ยังได้ใช้บุคคลในประวัติศาสตร์และแนวคิดปรัชญามาเป็นตัวเสริมหลักในการเขียนหนังสือเล่มนี้ ทำให้ออกมาเป็นหนังสือที่จะให้ข้อคิดดีๆ และคำแนะนำที่เป็นขั้นเป็นตอน และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้
แอดขอยืนยันเลยว่า ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะเป็นใครมาจากไหน ทำงานอะไร มีเป้าหมายแบบใดในชีวิต ทุกคนต่างจะได้รับประโยชน์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน!
บทที่ 1 การรับรู้
การรับรู้คืออะไร?
การรับรู้คือการที่เราเห็นและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และการที่เราตัดสินใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นหมายถึงอะไร
การรับรู้ของเรานี้อาจเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนของเราก็ได้
วิชาแห่งการรับรู้
มีอยู่ 2-3 เรื่องที่เราควรท่องจำไว้เมื่อเจอเข้ากับอุปสรรคขวากหนามใดๆ ก็ตาม:
- มองปัญหาตามความเป็นจริง
- ควบคุมอารมณ์ให้อยู่
- มองหลายๆ สิ่งในหลายๆ มุมมอง
- ค้นหาสิ่งดีๆ จากปัญหาที่เกิด
- อย่าไปกลัว
- เมินสิ่งรบกวนต่างๆ
- โฟกัสที่ปัจจุบัน
- โฟกัสในสิ่งที่ตัวเรามีอำนาจควบคุมได้
นี่คือวิธีการที่จะช่วยให้เรามองหาโอกาสท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ ได้ โอกาสไม่เดินมาหาเราเองหรอกค่ะ มันขึ้นอยู่กับวิธีการต่างหาก วิธีการที่มาจากวินัยของตัวเราเองและความเป็นเหตุเป็นผลที่แท้จริง
รับรู้ถึงพลังของตัวเอง
เราเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย หากปราศจากตัวเรา ก็ไม่มีดีหรือร้าย มีเพียงการรับรู้เท่านั้น มีเพียงเหตุการณ์และเรื่องราวที่เราเป็นผู้ให้ความหมาย
แค่เพราะคนอื่นบอกว่าบางอย่างเป็นไปไม่ได้ หรือบ้าบอ หรือแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นความจริง เราต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินว่านั่นเป็นความจริงหรือเปล่า
ขอต้อนรับเข้าสู่พลังแห่งการรับรู้ คุณผู้อ่านจะเลือกนำมันไปใช้ในสถานการณ์ไหนก็ได้ทั้งนั้น
คิดต่าง
การรับรู้ของเราจะตัดสินว่าเราทำสิ่งหนึ่งๆ ได้หรือไม่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราไม่ควรฟังคนอื่นมากไป (หรือแม้แต่เสียงในหัวที่คอยบอกนู่นนี่นั่นเรา)
ลงมือทำสิ่งที่เราคิดว่าใช่ดีกว่า ลองเปิดใจ ตั้งคำถาม แม้เราจะควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้ แต่การรับรู้ของเราสามารถพลิกแพลงมันได้เสมอค่ะ!
มองหาโอกาส
นักจิตวิทยาด้านการกีฬา ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับนักกีฬาที่บาดเจ็บสาหัสหรือประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง ในตอนแรกพวกเขาบอกว่ารู้สึกโดดเดี่ยว แปรปรวนทางอารมณ์ และสูญเสียความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่ต่อมาก็รู้สึกอยากช่วยเหลือคนอื่นและได้ตระหนักถึงจุดแข็งของตัวเอง
พูดอีกอย่างก็คือ ความรู้สึกกลัวและไม่แน่ใจจากสิ่งที่นักกีฬาเหล่านี้คุ้นเคย ช่วยให้พวกเขาค้นพบโอกาสใหม่ๆ ความรู้และความสามารถที่พวกเขามีก็ไม่ได้สูญเปล่า
นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Adversarial Growth และ Post-Traumatic Growth ที่เขาว่ากันว่า “ความเจ็บที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน” (What doesn’t kill you, makes you stronger.) นั้นใช้ได้จริง ความเพียรพยายามต่ออุปสรรคจะช่วยให้คุณแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง ยิ่งคุณฮึดสู้ การเติบโตภายในตัวคุณก็ยิ่งผลิบาน
อุปสรรคคือความได้เปรียบ ไม่ใช่ความซวย และศัตรูของเราก็คือสิ่งใดก็ตามที่บดบังไม่ให้เรามองเห็นความจริงข้อนี้
จากกลยุทธ์ที่แอดพูดถึงทั้งหมด ข้อนี้เป็นข้อที่เราจะสามารถนำไปใช้ได้เสมอ
เตรียมตัวลงมือ
ปัญหาไม่ได้ยากอย่างที่เราคิดหรอกค่ะ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ปัญหาจะยากแค่เท่าที่เราคิดนั่นแหละ
ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเรายอมสยบให้กับมันต่างหาก ลองทำใจร่มๆ แล้วมาเริ่มลงมือกำจัดเจ้าตัวปัญหากันดีกว่าค่ะ
บทที่ 2 การกระทำ
การกระทำคืออะไร?
การกระทำเป็นเรื่องทั่วไป แต่การกระทำที่ถูกต้องไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก การจะมีวินัยต้องค่อยๆ ทำไปทีละอย่าง ทีละขั้นตอน แกะปมอุปสรรคออกทีละน้อย ด้วยความหมั่นเพียร แล้วเราจะสามารถคว้าเป้าหมายมาไว้ในมือได้ในที่สุด
วิชาแห่งการกระทำ
เราทุกคนต่างเคยพูดว่า “ชั้นเหนื่อย เครียด ยุ่ง คิดไม่ออก สู้ไม่ได้” แล้วเราทำอะไรต่อเมื่อรู้สึกแบบนั้น?
คนส่วนนึงจะออกไปเที่ยวเล่นและปาร์ตี้ ส่วนนึงพักผ่อน ส่วนนึงก็นอนมันซะเลย และอีกส่วนเลือกที่จะรอเวลา เพราะมันรู้สึกดีกว่าเมื่อเราเมินปัญหาหรือคิดซะว่าไม่มีมันอยู่
ในขณะเดียวกัน เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าการทำแบบนี้ไม่ช่วยอะไร เราต้องลุกขึ้นลงมือค่ะ และต้องเป็นเดี๋ยวนี้ด้วย!
เมื่อเวลาผ่านไป เราก็มักลืมไปว่า อดีตและภูมิหลังนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือ ปัจจุบันและสิ่งที่เราได้รับจากเหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันต่างหาก
เราสามารถรับมือกับอุปสรรคได้ด้วย:
- ความกระตือรือร้น
- ความหนักแน่น
- การกระทำที่ผ่านการไตร่ตรองมาดีแล้ว
- การรู้จักล้มแล้วลุก
- การลงมือทำ
- การวางแผนล่วงหน้า
- ความเชี่ยวชาญ
- การรู้จักมองหาโอกาสดีๆ อยู่ตลอดเวลา
คุณพร้อมลงมือแล้วหรือยัง?
เริ่มออกเดิน
ธีโอดอร์ โรสเวลต์ เคยกล่าวไว้ว่า
“เราเลือกที่จะสู้จนตัวตาย หรือนอนรอวันตายก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะสู้”
เมื่อคุณผู้อ่านรู้สึกว่าเส้นทางไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ช่างยุ่งยากเสียจริงและรู้สึกอยากโทษใครซักคน แอดขอท้าให้คุณผู้อ่านเลิกบ่นค่ะ ห้ามท้อด้วย หรือถ้าจะบ่นก็ให้บ่นไปด้วยทำไปด้วย เพราะถ้าเรายังไม่ลองทำอะไร เราก็คงได้แต่ย่ำอยู่กับที่ใช่มั้ยล่ะคะ
ถ้าอยากได้เส้นทางไร้ขวากหนาม เราก็ต้องถางทางนั้นขึ้นมาเอง ลุกขึ้นแล้วมาลงมือกันเถอะค่ะ มา!
ทำซ้ำ
ในซิลิคอนวัลเลย์ เมืองเทคโนโลยีอันดับหนึ่งของโลก เหล่าสตาร์ทอัพจะไม่ปล่อยผลิตภัณฑ์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วออกมา แต่พวกเขาจะปล่อย “ผลิตภัณฑ์ใช้งานได้ขั้นต่ำ” แทน มันคือผลิตภัณฑ์ที่มีแก่นไอเดียของพวกเขาและส่วนเสริม 2-3 อย่างเท่านั้น
จุดประสงค์ของ “ผลิตภัณฑ์ใช้งานได้ขั้นต่ำ” คือการดูฟีดแบ็คจากลูกค้าว่าดีมั้ย ถ้าไม่ดีก็จะได้ไม่เจ็บตัวมากนั่นเองค่ะ มันง่ายกว่าเมื่อต้องการหลีกเลี่ยงกาลงทุนในตัวผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไม่ได้ต้องการจริงๆ
ถึงเวลาที่เราจะรู้ตัวกันได้แล้วว่าความล้มเหลวมันเลี่ยงกันไม่ได้
คิดซะว่าความล้มเหลวคือฟีดแบ็คแล้วกันค่ะ คิดซะว่ามันคือคำแนะนำให้ตัวเราได้พัฒนาต่อ ให้เราตื่นขึ้นจากความไม่รู้ ความล้มเหลวกำลังสอนเรา ลองหยุดฟังดู แบบฝึกหัดมักยากเสมอหากเราเลือกที่จะปิดหูปิดตา ลองทำแบบนั้นเถอะค่ะ การมองและเข้าใจโลกในแง่นี้เรียกได้ว่าเป็นการพลิกด้านอุปสรรค จากลบกลายเป็นบวก จากความผิดหวังเป็นโอกาส
ความล้มเหลวจะบอกหนทางให้กับเราด้วยการบอกว่าหนทางไหนที่ไม่ใช่
บทที่ 3 ความมุ่งมั่น
ความมุ่งมั่นคืออะไร?
ความมุ่งมั่นคือพลังภายในตัวเรา พลังที่สิ่งแวดล้อมภายนอกไม่สามารถสั่นคลอนได้ มันคือไพ่ตายของเรา
วิชาแห่งความมุ่งมั่น
ความมุ่งมั่นคือวิชาที่ 3 ที่สำคัญอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ
เราคิดได้ ลงมือได้ และประยุกต์ใช้กับโลกได้ แล้วความมุ่งมั่นนี่เองที่จะเป็นตัวเตรียมพร้อมให้เราต่อสู้กับโลกใบนี้ได้ ปกป้องเราจากโลกใบนี้ และช่วยให้เราเดินหน้าต่ออย่างมีความสุขไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงก็ตาม
โชคร้ายหน่อยที่แอดต้องบอกว่าความมุ่งมั่นเป็นวิชาที่ฝึกได้ยากที่สุดจากบรรดา 3 ม้วนวิชาลับทั้งหมด แต่หากเราฝึกวิชานี้สำเร็จ ความมุ่งมั่นจะช่วยให้เรายืนหยัด มั่นใจ ใจเย็น และพร้อมเสมอ
ลองเลือกที่จะควบคุมการรับรู้และอารมณ์ของตัวเอง แทนที่จะไปพยายามควบคุมสถานการณ์หรือความคิดคนอื่น
ลองเลือกที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง แทนที่จะนอนรับความเจ็บปวด
ลองคิดและทำ แทนที่จะเอาแต่บ่นพร่ำและตั้งคำถาม
หลงใหลในทุกสิ่ง
หลังจากที่เราละทิ้งความคาดหวังและยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว หลังจากที่เราเข้าใจแล้วว่าไม่ว่ายังไงสิ่งเลวร้ายก็จะเกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน เราจะรู้จักรักทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราและเราจะเผชิญมันด้วยความยินดี
มันคือการเปลี่ยนสิ่งที่เราต้องทำ ไปเป็นสิ่งที่เราได้ทำ เราจะทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับสิ่งที่พัฒนาได้ เราจะบอกตัวเองว่า “นี่คือสิ่งที่ชั้นต้องเจออยู่ดีเหรอ? งั้นชั้นก็จะยินดียอมรับมันแล้วกัน” เราเลือกไม่ได้ว่าว่าอะไรจะเกิดกับเราบ้าง แต่เราเลือกที่จะรู้สึกต่อมันได้
แล้วถ้าเราเลือกที่จะรู้สึกได้ เราจะจมปลักกับความทุกข์ไปทำไม? เลือกสุขสิคะคุณผู้อ่าน อย่าหันหลังกลับ เรามาเดินหน้าต่อไปด้วยคางที่เชิดขึ้นและรอยยิ้มกันเถอะ!
ความเพียรพยายาม
ถ้าความหนักแน่นคือการพยายามแก้ไขปัญหาด้วยความแน่วแน่และทู่ซี้จนกว่าจนแตกหักกันไปข้าง ก็แปลว่าหลายคนมีความหนักแน่นอยู่ แต่ความเพียรพยายามเป็นอะไรที่มากกว่า ความเพียรพยายามไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่เป็นสองและสาม และมากกว่านั้นอีก
ความเพียรพยายามหมายถึงการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าจวบจนหยดเลือดหยดสุดท้าย
ชีวิตไม่ได้มีแค่อุปสรรคเดียว มันมีมากมายเหลือเกิน และเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้โฟกัสแค่เรื่องตรงหน้า แต่เราต้องอย่าลืมแน่วแน่กับหนทางที่เราต้องมุ่งหน้าไป มันจะไม่มีอะไรหยุดเราได้ เราจะเอาชนะทุกอุปสรรค
บางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณ
ในบางครั้ง เวลาที่เราเจอปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็ญ ทางออกหนึ่งที่ดีที่สุดในการสร้างโอกาสหรือหนทางใหม่ๆ ก็คือการลองถามตัวเองว่า “ถ้าชั้นแก้ปัญหานี้เองไม่ได้ แล้วชั้นจะเอาข้อเสียเปรียบนี้ไปช่วยเหลือคนอื่นแทนได้มั้ย?” (ในกรณีที่เราไม่สามารถแก้ปัญหานั้นๆ ได้แล้ว)
“เราจะเป็นประโยน์ให้กับใครได้มั้ย? มีสิ่งดีๆ อะไรในสถานการณ์แย่ๆ นี้รึเปล่า?”
ถ้าตัวเราเองไม่ไหวแล้ว งั้นได้ช่วยครอบครัว ลูกน้อง หรือใครก็ตามที่อาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายๆ กันได้ก็ยังดี คนที่ไร้ประโยชน์คือคนที่มองเห็นแต่ตัวเอง คือคนที่เอาแต่คิดว่า “ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นกับชั้น แต่ไม่เกิดกับคนอื่นล่ะ?”
โอบกอดพลังนี้ไว้เถอะค่ะ พลังในการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่มวล เพราะเราก็เป็นแค่มนุษย์คนนึงที่กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถ เราแค่กำลังพยายามเอาตัวรอด เรามาเข้มแข็งเพื่อคนอื่น และในท้ายที่สุด เราจะเข้มแข็งขึ้นจากประสบการณ์และการตอบรับของผู้ที่ครั้งหนึ่งเราเคยช่วยเหลือมาแล้ว
สรุปส่งท้ายก่อนวางหนังสือ The Obstacle is the Way
มองทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น (ความเป็นจริง) ทำเท่าที่จะทำได้
ทำใจให้สงบ อย่าหัวร้อน อดทน
สิ่งที่ขวางกั้นเราจะกลายมาเป็นตัวช่วยแผ้วถางทางให้เรา
อุปสรรคจะทำให้เราก้าวหน้า
วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือการใช้ปัญหาแก้
นำไปต่อยอด
สร้างชีวิตจากซีโร่ ด้วยวิธีของฮีโร่ เป็นหนังสืออีกเล่มที่จะปลุกเราให้ตื่นจากวังวนเดิมๆ ของตัวเอง และสำนักพิมพ์บิงโกเราก็ภูมิใจนำเสนอ! เขียนขึ้นโดย Steve Kamp เจ้าของเว็บไซต์ www.nerdfitness.com ที่ช่วยให้หลายๆ คนเอาชนะปัญหายุ่งยากในชีวิตมาแล้วนักต่อนัก ด้วยการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาชื่นชอบ! ตัดหนังสือพัฒนาตัวเองบ้านๆ ในตลาดทิ้งไปได้เลยเมื่อเจอกับเล่มนี้
หนังสือ The Obstacle is the Way ได้ถูกนำไปแปลเป็นภาษาไทยแล้วในชื่อ “ขยับแค่ 1 องศา ปัญหาก็หายไปครึ่งหนึ่ง” ถ้าอ่านบทสรุปแล้วถูกใจ ก็ตามไปซื้อหากันได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ 🙂
Pingback: สรุปหนังสือ Toyota Kata "วิถีโตโยต้า": หลักคิดการทำธุรกิจที่ไม่มีวันแพ้
Pingback: สรุปหนังสือ Grinding It Out: ความลับของอาณาจักรแมคโดนัลด์ จากปากผู้ก่อตั้ง
Pingback: สรุปหนังสือ Everything Store: Amazon ร้านขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: สรุปหนังสือ Sam Walton: กำเนิด Walmart เครือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: กฎ 10 ข้อของ Sam Walton เจ้าของวอลมาร์ท ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: สรุปหนังสือ Atomic Habits เปลี่ยนนิสัยแค่นิดเดียว แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้นในทุกวัน