อย่าเฝ้ารอวันเกษียณ แต่จงไขว่คว้าเวลาและอิสรภาพเอาไว้ในมือ ด้วยแนวคิดดีๆ จากหนังสือ The 4-Hour Workweek
ถ้าความฝันของคุณคือการได้นั่งทำงานทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็น แล้วใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่คุณอายุ 60 ปี คุณได้เกษียณงานแล้วใช้เงินเก็บในบั้นปลายอย่างมีความสุข ผมไม่แนะนำให้คุณอ่านหนังสือ The 4-Hour Workweek เล่มนี้
เพราะหนังสือขายดีอันดับหนึ่ง New York Times เล่มนี้คือ คัมภีร์การใช้ชีวิตแนวใหม่ที่จะสอนให้คุณทำงานสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง ระหว่างท่องเที่ยวไปที่ไหนก็ได้ในโลก และมีรายได้แต่ละเดือนเท่ากับที่คุณเคยได้มาในหนึ่งปี
หนังสือเล่มนี้จะสอนให้คุณทำธุรกิจของตัวเอง เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน ที่จะทำให้คุณอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานอีกต่อไป
เรื่องเล่าจากชายสูงวัยที่ลาสเวกัส
ขณะที่ทิม เฟอริสส์กำลังอยู่บนเที่ยวบินที่มุ่งหน้าสู่ลาสเวกัส เขาได้พบชายสูงอายุที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง ชื่อว่า มาร์ค ผู้เคยเป็นผู้บริหารคาสิโน ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อมาแล้วหลายแห่ง
มาร์คสวมแหวนเพชรวงใหญ่ และชอบไปเที่ยวลาสเวกัสมาก เขาบอกกับทิมว่าการเที่ยวลาสเวกัสแต่ละครั้งมาร์คจะใช้จ่ายเงินมากกว่า 500,000 ดอลลาร์ ชีวิตของมาร์คราวกับภาพฝันของใครหลายๆ คนเลยทีเดียว
ทว่าทิมกลับพบว่าชายสูงวัยผู้นี้ไม่เคยทำงานอย่างมีความสุข มาร์คหย่าร้างมา 2 ครั้ง แถมภรรยาคนปัจจุบันก็ไม่ได้รักเขาเลย ความสำเร็จของเขามันช่างว่างเปล่า หลังจากที่เขาทนทำงานหนักมา 40 ปี เพื่อหวังจะมีความสุข แต่เงินของเขาแทบไม่มีค่าอะไรเลย
New Rich คือใคร?
คนจำนวนมากใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อความฝันว่าอยากจะเกษียณ คนพวกนี้เลยใช้วิธีนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะทำงานวันละ 10 ชั่วโมง แล้วฝันว่าจะอยู่อย่างสุขสบายหลังเกษียณ
มองอีกมุมหนึ่ง นั่นคือการเลื่อนเวลาการใช้ชีวิตออกไป แทนที่พวกเขาจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเสียตอนนี้ แน่นอนว่าพวกเขาคงมีเงินเก็บก้อนใหญ่ตอนเกษียณ แต่มันคุ้มกับช่วงชีวิตที่มีค่ามากที่สุดของคุณแล้วหรือยัง?
ทุกวันนี้มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า New Rich หรือเศรษฐีใหม่ พวกเขาคือคนที่รู้วิธีทำความฝันให้เป็นจริงในตอนนี้เลยแต่ก่อนที่คุณจะก้าวขึ้นมาเป็น New Rich ได้ คุณต้องรู้แก่นแท้ของความร่ำรวยเสียก่อน
คำถามคือ สิ่งที่คนรวยมีเหนือคนอื่นคืออะไร?
ทุกอย่างที่มหาเศรษฐีพันล้านมี ไม่ว่าจะเป็นไปเที่ยวรอบโลก มีงานอดิเรกพิสดาร หรือมีคนรับใช้ สุดท้ายแล้วคุณค่าของมันสรุปออกมาได้ 2 อย่างเท่านั้นคือ เวลาว่าง และอิสรภาพในการทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
ดังนั้น New Rich ก็คือ คนที่ออกแบบชีวิตของตัวเองให้มีเวลาว่างและอิสรภาพเทียบเท่ากับเศรษฐีพันล้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินถึงพันล้านก็ได้ คนที่มองเรื่องนี้ออกคือคนที่ร่ำรวยเวลา อิสรภาพ และความสุขที่แท้จริง
Old Rich หรือเศรษฐีรุ่นเก่าจะต้องมีคฤหาสน์ใหญ่โต มีโรงแรมที่มีชื่อเป็นนามสกุลตัวเอง หรือมีรีสอร์ทโอ่อ่าใหญ่โต พวกเขาจะมีที่ดินเยอะๆ ไว้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แต่ New Rich คือคนที่จะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ และควบคุมชีวิตของตัวเองได้
แม้ New Rich จะไม่ได้เกิดมารวย แต่พวกเขาก็มั่งคั่งขึ้นมาได้เพราะพวกเขารู้วิธีสร้างรายได้ให้เข้ามาโดยอัตโนมัติ (Passive Income) แม้ว่าพวกเขาจะหยุดทำงานไปแล้วก็ตาม
ทุกคนสามารถเป็น New Rich ได้
คุณเองก็สามารถเริ่มต้นจาก 0 แล้วกลายเป็น New Rich ได้ เริ่มจากค่อยๆ เพิ่มรายได้ของคุณ และลดจำนวนชั่วโมงทำงานของคุณลง โดยใช้สูตร DEAL
- Definition: หยุดความเชื่อผิดๆ แล้วชีวิตจะพลิกเป็นคนละเรื่อง
- Elimination: เลิกเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ
- Automation: ทำให้รายได้เข้ามาโดยคุณไม่ต้องทำงาน
- Liberation: มีชีวิตที่อิสระตามใจฝัน
สูตรแรกคือ Definition: หยุดความเชื่อผิดๆ แล้วชีวิตจะพลิกเป็นคนละเรื่อง
ก่อนที่คุณจะเป็น New Rich คุณต้องปรับทัศนคติเสียใหม่ คุณต้องมองเป้าหมายในการทำงานให้แตกต่างออกไป เช่น ถ้าเป้าหมายของคุณคือการทำงานเพื่อรอวันเกษียณ คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิดนี้ก่อน
คนส่วนใหญ่มองว่าการเกษียณคือแสงสว่างนำทางชีวิต มันคือวันแห่งอิสรภาพที่คุณจะได้สุขสบายหลังจากทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่นั่นไม่จริง คุณสามารถเกษียณได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย โดยสลับระหว่างทำงานและหยุดพักร้อนสัก 2 เดือน คุณต้องเชื่อก่อนว่าการพักร้อนทีละ 2 เดือนเป็นเรื่องที่ทำได้จริงๆ
ข้อผิดพลาดอีกอย่างของคนส่วนใหญ่คือ พวกเขาหวังต่ำเกินไป พวกเขามองว่าเป้าหมายใหญ่ๆ นั้น “เพ้อฝัน” แต่ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่มองแค่เป้าหมายเล็ก เป้าหมายเล็กๆ เลยมีการแข่งขันสูง ในขณะที่เป้าหมายใหญ่ทำได้ง่ายกว่ามาก
ไม่ค่อยมีใครคิดทำเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มีใครมาแข่งขันกับคุณ ถ้าคุณอยากระดมทุน 1,000,000 ดอลลาร์สำหรับธุรกิจ คุณจะทำได้ง่ายกว่าการระดมทุน 100,000 ดอลลาร์ บ่อยครั้งที่การทำเรื่อง “เพ้อฝัน” นั้นง่ายกว่าการ “อยู่กับความเป็นจริง” มาก
ทัศนคติสุดท้ายที่ต้องเปลี่ยนคือ การเปลี่ยนชีวิตของคุณต้องเริ่มตอนที่ไม่พร้อม อย่ารอให้ถึงจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมเพื่อลาออกจากงานแล้วกลายเป็น New Rich เพราะเวลาที่เหมาะสมนั้นไม่มีอยู่จริง
หลายคนที่รอเวลาที่เหมาะสมก็เพราะพวกเขากลัวสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ แต่ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วกลายเป็นหนึ่งใน New Rich เหมือนคนอื่น คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเองแล้วกล้าที่จะเดินหน้าต่อไป
กฎของพาเรโตสามารถช่วยคุณได้
กฎของพาเรโตบอกไว้ว่า ผลลัพธ์ 80% จะมาจากการกระทำเพียง 20% เท่านั้น กฎนี้มีอีกชื่อว่า กฎ 80/20 ซึ่งเรามักพบเห็นหลายเหตุการณ์ที่เป็นไปตามกฎนี้ เช่น
- 80% ของยอดขายทั้งหมดมาจากตัวแทนขายจำนวน 20%
- 80% ของกำไรทั้งหมดมาจากลูกค้าจำนวน 20%
- 80% ของซอฟต์แวร์ที่ล่มมีสาเหตุมาจากจุดบกพร่องจำนวน 20%
- 80% ของกำไรในตลาดหุ้นมาจากหุ้นจำนวนแค่ 20%
คุณไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องคิดเลขมาคำนวณหาสัดส่วน 80% และ 20% สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณต้องบอกให้ได้ว่าสิ่งของหรือกิจกรรมไม่กี่อย่างที่จะให้ผลตอบแทนคุณได้มากกว่าคืออะไรบ้าง นั่นหมายความว่า คุณกำลังมองหาทางลัด
เมื่อคุณค้นพบสิ่งสำคัญนั้น คุณแค่ทำมันให้ดีเลิศ ส่วนที่เหลือคุณแค่ทำให้ได้ดีพอใช้หรือทำไม่ดีเลยก็ยังได้ คุณควรพัฒนาทักษะให้ดีเยี่ยมในบางเรื่อง เพราะตอนนี้คุณรู้ตัวแล้วว่า คุณไม่จำเป็นต้องเก่งเป็นเลิศทุกด้านก็ได้
สุดท้ายแล้ว คุณจะทำงานน้อยลง เครียดน้อยลง และมีความสุขเพิ่มมากขึ้น ด้วยการหาคำตอบว่าเป้าหมายและกิจกรรมที่อยู่ใน 20% ของกฎพาเรโตสำหรับคุณคืออะไร
สูตรที่สอง Elimination: เลิกเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ
เนื่องจากผลลัพธ์ 80% ในชีวิตคุณมันมาจากการกระทำแค่ 20% แปลว่าการกระทำอีก 80% มันให้ผลลัพธ์แค่ 20% เท่านั้นเอง เมื่อคุณรู้แบบนี้แค่คุณเลิกทำเรื่องที่ไม่สำคัญ 80% นั้นเสีย คุณจะมีเวลาเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าเพื่อทำเรื่องอื่นๆ ตามต้องการ
วิธีง่ายๆ ในการเลิกทำเรื่องที่ไม่สำคัญคือ ให้ถามตัวเองว่า “ถ้าวันนี้ทั้งวันได้ทำแต่งานนี้ ฉันจะรู้สึกดีหรือไม่?”
ถ้าคุณถามตัวเองแบบนี้ทุกครั้ง มันจะช่วยเตือนสติและกำจัดกิจกรรมเสียเวลาได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเว็บไซต์ การตอบอีเมลที่ไม่ค่อยจะสำคัญ หรือการเข้าประชุมที่ไม่ได้ประโยชน์
นอกจากนี้ เรื่องเสียเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวก็คือ การรับรู้ข้อมูลมากเกินไป คนเรามักเสพข่าวสารหรืออ่านบทความต่างๆ เพื่อให้ทันโลกและเพื่อพัฒนาตัวเอง นั่นเป็นเรื่องดี แต่อะไรที่มากเกินไปย่อมผลาญเวลาที่มีค่าของเราสำหรับเรื่องอื่นได้
คุณไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือทุกเล่มหรือชำนาญทุกเรื่อง วิธีที่ง่ายกว่าคือ หาคนเก่งที่สามารถอธิบายเรื่องยากๆ ให้คุณรู้เรื่องได้ในเวลาสั้นๆ และตอบคำถามคุณได้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาแถมยังได้ผลดีกว่า เพราะความรู้ที่ได้จะเป็นเนื้อหาจริงๆ ที่ถูกคัดกรองจากผู้รู้มาแล้ว
สูตรที่สาม Automation: ทำให้รายได้เข้ามาโดยคุณไม่ต้องทำงาน
สำหรับคนที่พอรู้เรื่องการเงินอยู่บ้าง มันคือสิ่งที่เรียกว่า Passive Income
แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก ผมขออธิบายเรื่อง Passive Income แบบง่ายๆ ตามนี้
ถ้าคุณอยากจะกินดีอยู่ดีโดยมีเวลาสบายๆ ไปทำสิ่งที่คุณอยากจะทำ คุณต้องหาวิธีทำให้เงินเข้ากระเป๋าโดยที่ไม่ต้องออกแรงมาก สรุปง่ายๆ คือ คุณต้องหาวิธีทำให้ตัวเองมีรายได้โดยไม่ต้องทำงาน
เรื่องนี้มี 2 วิธี หนึ่งคือ คุณเอาเงินที่มีอยู่ไปลงทุนแล้วนำกำไรที่ได้มาใช้ เช่น คุณมีเงินก็เอาไปซื้อหุ้นหรือกองทุน คุณจะได้ผลตอบแทนโดยไม่ต้องทำงาน แต่วิธีนี้มีเงื่อนไขคือ คุณต้องเกิดมารวยหรือไม่ก็ต้องมีเงินเก็บก้อนใหญ่ คนที่เริ่มจากศูนย์จะทำแบบนี้ไม่ได้
วิธีที่จะเปลี่ยนให้คนที่ไม่มีอะไรเลยกลายเป็น New Rich ได้ ก็คือการสร้างธุรกิจที่อยู่ได้โดยคุณไม่ต้องบริหาร เช่น คุณขายสินค้าออนไลน์ พอมีคนสั่งซื้อ คุณก็มีคนอื่นจัดส่งสินค้าให้โดยที่คุณไม่ต้องห่อของ ส่วนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียเครื่องมือด้านการตลาดของคุณก็ใช้วิธีจ้างเอเจนซี่คอยดูแล
ปัญหาคือ แล้วมันจะไม่ล่มได้ไงถ้าคุณไม่เข้ามาดู?
- ทุกคนที่อยู่ในธุรกิจของคุณจะต้องติดต่อกันได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเสมอ นี่คืองานที่กินเวลาคุณอย่างมาก
- คุณควรให้คนอื่นรับผิดชอบงานมากที่สุดเท่าที่ทำได้ พวกเขาจะได้แก้ปัญหาต่างๆ เองโดยไม่ต้องมาคอยถามคุณหรือรอคุณอนุมัติ
ถ้าคุณไม่ได้มีเงินมาก แล้วคุณจะจ้างใครได้?
ทุกวันนี้คุณสามารถจ้างคนทำงานออนไลน์ได้เกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะวาดภาพ เขียนบทความ เขียนรีวิว ทำการตลาด ดูแลสต็อกสินค้า ฯลฯ ในประเทศไทยมีเว็บไซต์ FastWork ที่คุณสามารถจ้างฟรีแลนซ์มาทำงานต่างๆ ให้ ส่วนในต่างประเทศก็มี Fiverr แต่คุณต้องเก่งภาษาอังกฤษมากหน่อย
อย่างไรก็ตาม การจ้างคนผ่านอินเทอร์เน็ตย่อมมีทั้งดีและไม่ดี ดังนั้นคุณควรหาข้อมูลก่อนว่าต้องจ้างใครถึงจะดีที่สุด และอย่าท้อเด็ดขาด ถ้าคนแรกที่คุณจ้างจะทำงานไม่ได้ดั่งใจ เพราะในที่สุดคุณจะเจอคนทำงานดีๆ แน่นอน
วิธีปั้นธุรกิจที่จะสร้าง Passive Income แบบง่ายๆ
Passive Income ก็คือสิ่งที่สร้างรายได้ให้คุณโดยที่คุณไม่ต้องออกแรงมาก (อ่านเพิ่มเกี่ยวกับ Passive Income ได้ที่นี่)
โจทย์ของคุณตอนนี้คือ ธุรกิจที่มีระบบในการสร้างรายได้ด้วยตัวเองโดยคุณไม่ต้องเข้ามาวุ่นวายกับมันมากนัก ดังนั้นขั้นตอนแรกสุดคือ คุณต้องมีสินค้ามาขาย
คุณอาจขายผลิตภัณฑ์ที่คุณคิดขึ้นเอง หรือซื้อจากคนอื่นมาขายต่อก็ได้ แต่การซื้อของมาขายต่อนั้นกำไรต่อชิ้นย่อมน้อยเป็นธรรมดา ถ้าคุณอยากรวยเร็ว คุณต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองมาขายจะได้กำไรมากกว่าแน่นอน
จงหาตลาดที่คุณถนัด แล้วคิดหาผลิตภัณฑ์ที่ใช่
เมื่อคุณมีผลิตภัณฑ์ที่จะขายแล้ว เคล็ดลับสู่ความสำเร็จคือ คุณควรจ้างคนอื่นมาช่วยทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมอยากให้คุณลองนึกตามว่า ถ้าคุณจ้างคนมาช่วยทำการตลาด ออกแบบโลโก้ สร้างเว็บไซต์ บริหารสต็อกสินค้า และทำทุกเรื่องที่จะขับเคลื่อนธุรกิจได้ รวมแล้วคุณจ่ายไป 40,000 บาท แต่ถ้าคุณขายของได้ 100,000 บาท ก็เท่ากับว่าคุณได้เงินมา 60,000 บาทโดยไม่ต้องลงแรงหรือเวลาอะไรเลย
ถ้าคุณยังไม่มั่นใจ คุณอาจเริ่มต้นโดยยังไม่ต้องลงทุนมาก เช่น ถ้าคุณสนใจธุรกิจขายครีม คุณอาจลองเป็นตัวแทนจำหน่ายครีมของคนอื่นดูก่อน เมื่อคุณรู้ตื้นลึกหนาบางของวงการนี้แล้ว คุณก็จะตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าควรสร้างแบรนด์ครีมของตัวเอง หรือไปขายสินค้าอย่างอื่นดีกว่า
ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ผมแนะนำให้คุณเลือกทำสิ่งที่มีคู่แข่งน้อย และแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าสินค้าของคุณดีที่สุดในบรรดาคู่แข่งทั้งหมด คุณอาจหาข้อมูลต่างๆ ได้จากสัมมนา หนังสือ หรือเว็บไซต์ และอย่าไปยึดติดกับใบปริญญา คุณไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเอกด้านแฟชั่นถึงจะออกแบบเสื้อยืดน่ารักๆ หรือทำสินค้าที่โดดเด่นได้
สำรวจตลาดก่อนลงมือทำ
ตัวเลขทางสถิติบอกไว้ว่า ธุรกิจที่ก่อตั้งใหม่ในแต่ละปีจำนวน 80% จะเจ๊งภายในปีแรก
แล้วสิ่งใดคือตัวตัดสินว่า ธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จ?
ประสบการณ์? ความรู้? เงินลงทุน? เครือข่าย?
คำตอบเหล่านี้ไม่ใช่สักอย่าง
สิ่งที่ตัดสินความสำเร็จของธุรกิจคุณก็คือลูกค้า วิธีเดียวที่คุณจะรู้ว่าลูกค้าชอบสินค้าของคุณไหม นั่นคือคุณต้องลองทดสอบดูว่าลูกค้าชอบไหม และคุณควรใช้วิธีทดสอบที่ลงทุนน้อยที่สุด
ผมมีเคสตัวอย่างที่น่าสนใจมาเล่าให้คุณได้ฟัง
เชอร์วูดเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จจากการซื้อเสื้อกะลาสีมาขายต่อในเว็บ eBay คุณอาจจะนึกไปว่าเขาต้องเป็นคนพิลึกขนาดไหนถึงจะคิดขายเสื้อกะลาสีในอินเทอร์เน็ต คนอะไรจู่ๆ ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งก็นึกขึ้นมาได้ว่าขายเสื้อกะลาสีจะต้องกำไรดีแน่ คนแบบนั้นไม่มีจริงหรอกครับ แต่เรื่องนี้มีเบื้องหลังที่น่าสนใจอยู่
เชอร์วูดไม่รู้หรอกว่าเสื้อกะลาสีจะขายได้หรือเปล่า ดังนั้นก่อนที่เขาจะซื้อเสื้อมาขาย เขาก็ตั้งขายเสื้อไปก่อนเลยใน eBay แล้วพอมีใครกดซื้อ เขาก็บอกไปว่าของหมด นั่นทำให้เขารู้ว่ามีคนที่อยากซื้อเสื้อกะลาสีมากแค่ไหน
พอเขารู้ว่าเสื้อน่าจะขายดี เขาถึงเริ่มสั่งสินค้ามา พอขายหมดโหลนึงภายใน 5 วัน เขาก็เริ่มสั่งเพิ่มเป็นสองโหล เชอร์วูดทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ลาออกจากงานมาขายของเต็มตัว
เชอร์วูดไม่ได้ตัดสินใจลาออกจากงานแต่แรก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเสื้อนั้นจะขายดีหรือไม่ และเขาก็ไม่ได้ลงทุนเยอะแยะตั้งแต่วันแรก แต่ทดลองขายของที่เขาเองก็ไม่มีไปก่อน การทดลองนี้ช่วยให้เขามั่นใจขึ้นเรื่อยๆ จนสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
โจฮันนาเป็นครูสอนโยคะ อยู่มาวันหนึ่งเธอสังเกตว่ามีนักปีนเขามาเรียนโยคะเยอะ เธอจึงลองจัดทำดีวีดีสอนโยคะสำหรับนักปีนเขาโดยเฉพาะ
โจฮันนาสร้างเว็บไซต์ง่ายๆ แล้วก็ขอให้นักเรียนของเธอมาเขียนคำชื่นชม จากนั้นเธอก็ลงโฆษณาผ่านกูเกิล AdWords และวิเคราะห์ว่าเธอต้องลงโฆษณากับคำค้นหาไหนถึงได้ยอดขายมากที่สุด
ทุกวันนี้เธอมีรายได้สม่ำเสมอจากการลงทุนครั้งนั้นครั้งเดียว โดยที่เธอแทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย
สินค้าของคุณต้องเห็นผลชัดเจนและรวดเร็ว
หลังจากคุณรู้ว่ามีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว มี 4 เรื่องที่คุณต้องคิดให้ได้ก่อนจะเริ่มขายจริง
- ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าของคุณ? คุณต้องตอบให้ได้ในประโยคเดียว เหมือนตอนที่แอปเปิลเปิดตัวไอพอดครั้งแรกในปี 2001 แอปเปิลไม่ได้อธิบายอะไรยุ่งยาก แค่บอกกับทุกคนว่า “1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ” ทุกคนเข้าใจทันทีว่าไอพอดคืออะไร
- อย่ามีตัวเลือกเยอะ มันทำให้ลูกค้าต้องคิดหนักเวลาจะซื้อของ และสุดท้ายเขาจะไม่ซื้ออะไรเลย ถ้าจะให้เลือกสีก็ไม่ต้องมีหลายสี ถ้าจะให้เลือกแบบก็ไม่ต้องมีหลายแบบ
- อย่าขายถูก ถ้าคุณขายถูกคุณจะได้กำไรไม่คุ้ม และสินค้าของคุณจะดูเป็นของถูกในสายตาลูกค้าด้วย นอกจากนี้ถ้าคุณขายของราคาสูง คุณจะได้ลูกค้าที่ดีกว่า ซึ่งพวกเขายอมจ่ายเงินได้ง่ายกว่าด้วย
- คุณต้องกล้ารับประกันผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดมิโนพิซซ่ามีบริการ “ส่งถึงบ้านภายใน 30 นาที ถ้านานกว่านั้นคุณจะได้พิซซ่าฟรี” ส่วนผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ขายยาบำรุงสมอง เขารับประกันว่า “เม็ดแรกเห็นผลภายใน 60 นาที ถ้าไม่ได้ผลยินดีคืนเงินและแถมเงินให้อีก 10%”
สร้างความมั่งคั่งด้วยการลงทุน
นอกจากคุณจะทำธุรกิจตามแบบ 4-Hour Workweek คุณยังสามารถสร้างความมั่งคั่งได้จากการลงทุน
ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจหรือทำงานประจำ คุณก็สามารถลงทุนได้ เพราะคุณแค่บริหารเงินให้ถูกต้อง หรือ “วางเงินให้อยู่ถูกที่” แล้วรอให้มันงอกเงย แค่นี้ก็จะสร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้คุณในระยะยาวครับ
หนังสือที่สอนสร้างความมั่งคั่งอย่างพ่อรวยสอนลูก หรือ I Will Teach You to be Rich เขาก็จะบอกให้คุณลงทุน
คุณอาจสนใจอ่าน 4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเริ่มลงทุน ซึ่งจะปูพื้นฐานการลงทุนให้คุณตั้งแต่ต้น ถัดจากนั้นคุณก็ต้องเลือกวิธีลงทุนของคุณจาก 4 สไตล์ทั้งหมด หรือถ้าคุณอยากหาหนังสือหุ้นมาอ่านเพิ่มเติม ผมได้ลิสต์หนังสือดีๆ ไว้ให้คุณอ่านเรียบร้อยแล้ว
พอเราเข้าใจภาพกว้างของการลงทุน มันจะเปิดประตูไปสู่การลงทุนได้หลายชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนแนวเน้นคุณค่า VI การลงทุนหาหุ้น 10 เด้ง หรือกระทั่งการลงทุนหุ้นปันผล ซึงจะสร้างความมั่งคั่งให้คุณไปตลอดชีวิต
หนังสืออื่นที่น่าสนใจไม่แพ้ The 4-Hour Workweek
- พื้นฐานด้านการเงินเป็นความรู้ที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม สนพ.บิงโกจึงทำสรุปเนื้อหาดีๆ จากหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ซึ่งจะสอนพื้นฐานทุกเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการเงินในเล่มเดียว
- Tribes คือหนังสือดีอีกเล่มเกี่ยวกับการตลาดที่จะช่วยให้คุณ “ขายเก่ง” ขึ้น นักเขียนชื่อดังอย่าง Seth Godin บอกว่าธุรกิจหรือแบรนด์สมัยใหม่จะต้องทำตัวเป็น “ผู้นำเผ่า” ที่ทุกคนเชื่อใจ แล้วเผ่าของคุณก็จะเข้มแข็งขึ้นเอง
- ถ้าคุณติดปัญหาว่า “ฉันจะเริ่มทำอะไรได้ในเมื่อมีต้นทุนไม่เท่าคนอื่นเขา” สนพ.บิงโกขอแนะนำหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด หนังสือที่จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดที่คุณมีแล้วช่วยให้คุณก้าวหน้าขึ้นทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
- ปัจจุบันนี้ลำพังแค่ คิดเก่ง ขายเก่ง อาจยังไม่พอ เพราะคุณต้องนำเสนอเก่งด้วย สนพ.บิงโกมีหนังสืออีก 2 เล่มอยากแนะนำ เล่มแรกคือ The Presentation Secret of Steve Jobs หนังสือที่จะเปิดเผยเทคนิคการนำเสนอจากศาสดาของชาวแอปเปิลอย่างสตีฟ จ็อบส์เอาไว้ในเล่มเดียว
- อีกเล่มคือ คิดเป็นภาพ เปลี่ยนเรื่องยากให้ง่ายใน 1 นาที ผลงานของซากุราดะ จุน นักอินโฟกราฟิกมือหนึ่งจากญี่ปุ่น ซึ่งมีงานอดิเรกสุดแปลกเป็นการ “สรุปทุกเรื่องในภาพเดียว” หนังสือเล่มนี้นอกจากจะมีเทคนิคดีๆ ในการสรุปเป็นภาพแล้ว ยังมีแบบฝึกหัดให้คอยฝึกทำไปตอนอ่านด้วย
Pingback: สรุปหนังสือ I will teach you to be rich หนังสือที่จะทำให้โค้ชการเงินตกงาน
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ อ่านแล้วได้ไอเดียที่ไม่รู้เยอะมากเลย จะติดตามผลงานเขียนของคุณต่อๆไป
ขอบคุณเช่นกันครับ ผมดีใจมากๆ ที่บทความนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
ผมจะตั้งใจเขียนบทความดีๆ ออกมาเรื่อยๆ นะครับ 🙂
Pingback: สรุป The Intelligent Investor: หนังสือลงทุนที่ดีที่สุดในโลก (นักลงทุนต้องอ่าน)
Pingback: สรุปหนังสือ Emotional Intelligence: รู้แค่นี้ก็ประสบความสำเร็จกว่าคน IQ 180
Pingback: สรุปหนังสือ Grinding It Out: ความลับของอาณาจักรแมคโดนัลด์ จากปากผู้ก่อตั้ง
Pingback: สรุปหนังสือ Sam Walton: กำเนิด Walmart เครือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับการสรุปหนังสือเป็นร้อยๆหน้า มาให้อ่านแบบฟรีๆ สรุปหนังสือได้ดี และมีประโยชน์มาก เอาไปใช้ได้จริง ช่วงนี้ Covid-19 ระบาด การได้อ่านเรื่องราวดีๆ อยู่ที่บ้าน เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ขอบคุณล้านๆครั้ง สำหรับสิ่งดีๆ ที่ทำให้กับโลกใบนี้
ยินดีมากๆ ครับ ขอบคุณมากครับ
ผมและทีมงานบิงโก จะพยายามนำความรู้ดีๆ มาส่งมอบแฟนๆ ต่อไปครับ 🙂
Pingback: สรุปหนังสือ Purple Cow อยากสำเร็จต้องเป็นวัวสีม่วง - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ The Richest Man In Babylon อย่าให้ชีวิตคุณจบด้วยประโยค “รู้งี้...”
ขอบคุณคะ ขอบคุณมากๆนะคะ ที่แบ่งบันสิ่งดีๆให้
เป็นประโยชน์มากเลยคะ
ขอบคุณมากๆนะคะ ที่แบ่งบันสิ่งดีๆให้
เป็นประโยชน์มากเลยคะ
ขอบคุณสำหรับสรุปเนื้อหาครับ
Pingback: อิสรภาพของคุณราคาเท่าไหร่? 5 ระดับอิสรภาพทางการเงิน - สำนักพิมพ์บิงโก
ขอบคุณมากๆนะคะ กำลังหารีวิวหนังสือนี้พอดี จนได้อ่านบทความที่สรุปมานี้ กระชับและมีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ