สรุปหนังสือ Hooked ทำอย่างไรลูกค้าถึงจะติดใจสินค้าของเรา?

hooked book

หนึ่งในแนวคำถามที่ผมได้ยินในโลกของการทำงานมากที่สุดก็คือ “ทำอย่างไรลูกค้าถึงจะติดใจสินค้าของเรา?” ผมได้ยินคำตอบเยอะมาก บ้างก็อ้างอิงทฤษฎี บ้างก็อ้างอิงประสบการณ์จริง แต่หนึ่งในคำตอบที่ดีที่สุดที่ช่วยให้ผมเข้าใจมันมากขึ้นมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า Hooked

Hooked คือหนังสือติดอันดับขายดีจากฝีมือของ เนียร์ อียาร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาธุรกิจ อียาร์เคยทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับแบรนด์ดังๆ ที่เราติดจนถอนตัวไม่ขึ้นไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม และทวิตเตอร์ ซึ่งในหนังสือ Hooked เล่มนี้เขาจะใช้แนวคิด “Hook Model” เพื่ออธิบายให้คนอ่านเข้าใจว่า “ทำไมเราถึงติดสินค้าบางชิ้นได้มากขนาดนี้?”

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากรู้ว่า “ฉันต้องทำอะไรบ้าง ลูกค้าถึงติดใจ?” “ผมต้องทำอะไรบ้าง ลูกค้าถึงมาใช้บริการซ้ำอีก?” ลองมาอ่านสรุปเนื้อหาจากหนังสือไปพร้อมๆ กันเลยครับ

 

hooked 03

รวมข้อคิดดีๆ ที่หนังสือ Hooked อยากบอกคุณ

  • เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
  • เรียนรู้วิธีออกแบบผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ดังๆ เช่น เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ เป็นต้น
  • ได้แนวคิดดีๆ สำหรับการออกแบบงานครั้งใหม่ให้ประสบความสำเร็จ

 

สร้าง “นิสัย” ให้ลูกค้า

คุณอาจจะสงสัยว่า “แล้วสินค้าของเรามันเกี่ยวกับนิสัยของลูกค้าอย่างไร?”

อียาร์อธิบายว่า ถ้าคุณอยากให้ลูกค้าย้อนกลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณต้องทำให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณจนติดเป็นนิสัย

คุณลองนึกเหตุการณ์ตามดูนะครับ

  • ในช่วงต้นเดือนแบบนี้ ผมอยากพาครอบครัวไปหาร้านอาหารดีๆ ทานแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันสักมื้อ แต่จะให้ไปตามห้างสรรพสินค้าก็กลัวคนจะเยอะ ผมจึงเข้ากูเกิลเพื่อค้นหาร้านอาหารอื่นๆ แถวๆ บ้านแทน
  • เมื่อถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมชอบหาหนังดีๆ สักเรื่องดูอยู่ที่บ้าน ผมนึกอยากดูหนังผี แต่ในรายการกลับมีหนังผีให้เลือกเยอะมาก ผมจึงหาข้อมูลหนังผีแบบหลอนๆ สักเรื่องในกูเกิลก่อน

คุณจะเห็นว่าเวลาผมมีปัญหาอะไรที่อยากได้คำตอบ “กูเกิล” คือสิ่งแรกที่ผมนึกถึง นี่หมายความว่าทุกครั้งเวลาผมอยากรู้อะไร ผมก็จะเข้ากูเกิลเพื่อหาข้อมูลก่อนจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว

นี่ไงครับสิ่งที่อียาร์อธิบายให้เราฟัง อียาร์บอกว่าคนเราไม่ได้ติดเฟซบุ๊คหรือกูเกิลเพราะบังเอิญ แต่เราติดเฟซบุ๊คและกูเกิล เพราะมันถูกออกแบบมาให้เป็นแบบนั้น ยิ่งเราใช้งานมันบ่อยขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งติดมันจนถอนตัวไม่ขึ้นมากเท่านั้น และนี่คือที่มาของแนวคิด “Hook Model” ในหนังสือเล่มนี้

 

Hook Model คืออะไร?

อียาร์เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา เขาศึกษาจนพบว่าขั้นตอนของการเกิดนิสัยขึ้นมานั้นสามารถอธิบายได้ด้วย Hook Model ซึ่งมันแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนวนไปมาไม่รู้จบดังภาพนี้

 

hooked 02

 

ขั้นตอนที่ 1: ตัวกระตุ้น (Trigger)

นิสัยจะเกิดขึ้นได้ มันต้องมีอะไรบางอย่างมากระตุ้นก่อน ซึ่งตัวกระตุ้นนี้จะแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันคือ ตัวกระตุ้นจากภายนอกและตัวกระตุ้นจากภายใน

ตัวอย่างตัวกระตุ้นจากภายนอก เช่น โฆษณา ใบปลิว ประกาศแจ้งเตือน เพื่อนหรือคนรู้จักแนะนำมา อีเมลข่าวสารสินค้า อันดับขายดี เป็นต้น

ส่วนตัวกระตุ้นจากภายในนั้นจะมีอิทธิพลต่อลูกค้ามากกว่าตัวกระตุ้นจากภายนอก เพราะมันมาจากอารมณ์ความรู้สึกภายในจิตใจ เช่น เกิดสงสัยหรืออยากรู้ข้อมูลอะไรก็เปิดกูเกิล เบื่อๆ อยากหาอะไรฆ่าเวลาเปิดเกมในมือถือ รู้สึกเหงาหรืออยากรู้ข่าวเพื่อนๆ เปิดเฟซบุ๊ค เป็นต้น

อียาร์อธิบายเพิ่มด้วยว่า นอกจากตัวกระตุ้นจากภายในจะมีอิทธิพลมากกว่าแล้ว ยิ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกด้านลบอย่าง เหงา ผิดหวัง หรือกลัว ก็จะยิ่งได้ผลมากยิ่งขึ้น

 

ขั้นตอนที่ 2: การกระทำ (Action)

เมื่อเราถูกกระตุ้นไม่ว่าจะเป็นจากตัวกระตุ้นภายในหรือภายนอก เราจะเกิดการกระทำบางอย่างขึ้น เช่น ผมอยากหาร้านอาหารดีๆ แถวบ้านที่เหมาะกับบรรยากาศครอบครัว ผมจึงเข้ากูเกิลเพื่อหาข้อมูล

อียาร์อธิบายว่า ขั้นตอนที่ 2 นี้คือตัวตัดสินว่าผลิตภัณฑ์ของคุณจะเป็นที่ถูกใจของลูกค้าหรือไม่ ถ้าลูกค้าใช้แล้วไม่ชอบ เขาก็คงไม่กลับมาใช้ซ้ำอีกแน่นอน ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ครับ

ผมเข้ากูเกิลเพื่อหาร้านอาหารแถวบ้าน แค่ผมพิมพ์คำว่า “ร้านอาหาร แนวครอบครัว นนทบุรี” กูเกิลก็ขึ้นข้อมูลดีๆ ที่น่าสนใจมาให้ผมเลือกเต็มไปหมด แถมมันยังรวดเร็วไม่เปลืองเวลาของผมอีกด้วย

คุณจะพบว่ากูเกิลช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้ สมัยก่อนถ้าผมอยากได้ร้านอาหารสักแห่ง ผมอาจต้องพึ่งพานิตยสาร แต่กูเกิลกลับทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น หรือการเปิดใช้งานกล้องถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนในสมัยนี้ก็ง่ายและรวดเร็วขึ้น เราไม่จำเป็นต้องปลดล็อคเครื่อง เปิดแอพพลิเคชั่นถ่ายภาพ รอสักพักถึงจะใช้ได้อีกต่อไป เพราะสมาร์ทโฟนหลายๆ เจ้าต่างแก้ไขให้มันมีปุ่มคีย์ลัดให้คุณเข้าถึงฟังก์ชั่นถ่ายภาพได้ภายในไม่กี่วินาที

นอกจากความง่ายและความสะดวกที่มัดใจลูกค้าได้อยู่หมัดแล้ว ในหนังสือ Hooked ยังพูดถึงตัวช่วยอีก 4 ชนิดที่ใช้หลักของเศรษฐศาสตร์มาอธิบายด้วยว่า บางครั้งเราก็มักโอนอ่อนไปตามตัวช่วยทั้ง 4 ชนิดนี้ นั่นคือ

  • ผลจากความขาดแคลน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ เว็บไซต์จองโรงแรมที่พักอย่าง อโกด้า (Agoda) บ่อยครั้งเวลาผมอยากจองที่พัก มันมักจะมีข้อมูลขึ้นมาว่าห้องพักที่คุณสนใจเหลือ 2 ห้อง โอ้โห! เห็นแบบนี้ผมก็ยิ่งต้องรีบตัดสินใจใช่มั้ยล่ะครับ ไม่งั้นผมอาจจะพลาดข้อเสนอดีๆ อันนี้ไปก็ได้ ทั้งที่จริงแล้วโรงแรมน่าจะมีห้องพักเหลือมากกว่านั้นแน่นอน
  • ผลจากคุณค่า ถ้าเราลองให้คนชิมเครื่องดื่มแล้วให้คะแนน ระหว่างขวดแรกที่ดูดีติดฉลากสวยๆ ลงไป กับขวดเรียบๆ ไม่มีฉลากเลย คนส่วนใหญ่ก็มักจะให้คะแนนขวดที่ดูดีมากกว่า ทั้งๆ ที่มันเป็นเครื่องดื่มชนิดเดียวกัน
  • ผลจากราคา เราพ่ายแพ้ป้ายลดราคา เมื่อไหร่ก็ตามที่สินค้าถูกติดป้ายลดราคา 50% หรือซื้อ 1 แถม 1 เรามักจะสนใจสินค้าพวกนี้ทันทีจนบางครั้งลืมคิดไปว่ายังมีสินค้าอื่นๆ ที่แม้จะขายราคาเต็มแต่ก็ยังถูกกว่าอยู่ดี
  • ผลจากความก้าวหน้า ผมเคยกรอกใบสมัครตามเว็บประกาศหางานออนไลน์แห่งหนึ่ง แม้ว่าผมจะกรอกข้อมูลยังไม่ครบถ้วนดีนัก แต่มันกลับบอกผมว่า “ใบสมัครของคุณเสร็จสมบูรณ์แล้ว 40%” วิธีนี้ช่วยให้ผมรู้สึกคืบหน้าและจูงใจให้ผมมาใช้บริการซ้ำๆ ได้เป็นอย่างดี

ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณต้องออกแบบผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่าง ลองนำแนวคิดดีๆ เรื่องนี้ไปปรับใช้ดูนะครับ

 

ขั้นตอนที่ 3: รางวัลตอบแทน (Variable Reward)

เมื่อคุณดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จะมัดใจพวกเขาได้แน่นหนายิ่งขึ้นก็คือ “รางวัลตอบแทน”

อียาร์อธิบายว่าถ้าเรามอบรางวัลอะไรสักอย่างให้กับลูกค้าได้ มันจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นี้คุ้มค่าและอยากจะมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งรางวัลตอบแทนในขั้นตอนที่ 3 ของ Hook Model นี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ

  • การยอมรับจากสังคม เฟซบุ๊คเป็นตัวอย่างที่ดีของรางวัลประเภทนี้ เมื่อเราโพสต์อะไรบางอย่างลงไป ทุกการกดไลค์ที่ได้มามันเหมือนเป็นรางวัลให้เราอยากจะโพสต์เรื่องต่างๆ อีก
  • ข้อมูลข่าวสารที่มีค่า รางวัลประเภทนี้มีที่มาจากสัญชาตญาณการล่าของมนุษย์ในสมัยก่อน เราออกล่าเพื่อหาอาหารมาเลี้ยงชีพ แต่ในสมัยนี้เราเล่นทวิตเตอร์ เพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ เจ๋งๆ ก่อนใคร
  • ความพอใจของตัวเอง เกมออนไลน์มักจะแสดงอันดับรายชื่อผู้เล่นที่เก่งที่สุด หรือมักมอบรางวัลพิเศษให้กับผู้เล่นที่ทำภารกิจสำเร็จ ผู้เล่นจึงอยากจะเข้ามาเล่นมากขึ้นและบ่อยครั้งก็ยอมเสียเงินเพื่อซื้อไอเท็มบางอย่างในเกมนั้นเพิ่มเติมให้ตัวเองด้วย

 

ขั้นตอนที่ 4: การลงทุน (Investment)

ขั้นตอนสุดท้ายนี้เป็นเหมือนสิ่งที่ลูกค้าตอบแทนกลับมาสู่ตัวผลิตภัณฑ์ เช่น กดไลค์ในเฟซบุ๊คหรือใช้เวลาเป็นชั่วโมงนั่งอ่านทวิตเตอร์ เมื่อลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่าง พวกเขาต้องลงทุนเวลา กำลัง หรือเงิน ลูกค้าจึงอยากได้ผลตอบแทนอะไรสักอย่างกลับไป ถ้าลูกค้ารู้สึกว่าผลตอบแทนนั้นคุ้มค่าหรือรู้สึกไม่เสียดายเลยกับสิ่งที่ลงทุนไป พวกเขาก็จะใช้ผลิตภัณฑ์นั้นต่อไป แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาคิดว่ามันไม่คุ้ม พวกเขาก็เลิก

Pinterest เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับหาและรวบรวมไอเดียสักอย่างจากผู้ใช้งาน ผมเองเป็นคนชอบทำอาหาร นอกจากนี้ผมยังชอบที่จะจัดจานมันให้สวยงามด้วย ผมจึงชอบเข้า Pinterest ไปหาไอเดียภาพถ่ายการจัดจานสวยๆ จากผู้ใช้งาน ถูกใจใครก็ปักหมุดไว้เรื่อยๆ เวลาที่ผมทำอาหารเสร็จก็แค่เปิดดูภาพที่เราปักหมุดเอาไว้ ผมก็สามารถทำตามได้ทันที

พอผมใช้เจ้า Pinterest ช่วยหาไอเดียไปนานๆ เข้า ถ้าจะให้เลิกใช้หรือเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่น ผมก็เสียดายไอเดียดีๆ ที่อุตส่าห์หาและเก็บรวบรวมมันเอาไว้ นี่เป็นตัวอย่างให้คุณเห็นว่ากระดานพินของผมกลายเป็นสิ่งมีค่าสำหรับการทำอาหารเป็นงานอดิเรกของผมไปแล้ว

เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถทำให้วงจรทั้ง 4 ขั้นตอนนี้เกิดซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบได้ นั่นแปลว่าผลิตภัณฑ์ของคุณเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

hooked 01

ประสบการณ์ติดจนถอนตัวไม่ขึ้นของเด็กยุค 90

คุณอาจจะคิดว่าแนวคิด Hook Model นี้ ใช้สำหรับอธิบายผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ที่ต้องอาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก แต่ผมกลับรู้สึกว่าถึงไม่มีอินเทอร์เน็ต เราก็ติดผลิตภัณฑ์บางชิ้นแบบถอนตัวไม่ขึ้นอยู่ดี

ผมเป็นคนชอบฟังเพลง ซึ่งอุปกรณ์ที่อยู่คู่ใจเด็กยุค 90 อย่างผมก็คือ “ไอพอด”

ผมอยากใช้มัน เพราะได้ยินเพื่อนในสมัยเรียนหลายคนพูดกันว่า “เฮ้ย ไอพอดมันเจ๋งนะ ดีกว่าเครื่องเล่นซีดีตั้งเยอะ” แถมพอผมลองยืมเพื่อนมาใช้บ้าง ผมก็ชอบมัน เพราะไอพอดใช้งานง่าย สามารถจุเพลงได้ตั้งมากไม่ต้องคอยเปลี่ยนแผ่นซีดีเหมือนเก่าอีกแล้ว ตัวกระตุ้นจากภายนอกตาม Hook Model ในขั้นตอนที่ 1 เริ่มทำงานแล้วครับ

พอผมทำงานเก็บเงินได้ ผมก็เลยอัญเชิญเจ้าไอพอดเครื่องหนึ่งจากร้านมาเป็นของผมอย่างถาวร เวลาผมอยู่ระหว่างการเดินทางผมก็มักหยิบมันขึ้นมาเลือกเพลงโปรดฟังเป็นประจำ เรียกว่าแทบทุกครั้งที่ต้องเดินทางก็ว่าได้

เวลาผมได้ซีดีเพลงแผ่นใหม่มา ผมก็จะโอนเพลงลงไอพอดเครื่องนี้ พอสมัยใหม่ขึ้นมาหน่อยผมก็ซื้อเพลงผ่านไอทูนส์บ้างแล้วก็ถ่ายโอนมันใส่ไอพอดของผมเสมอ ผมรู้สึกได้ว่ามันเติบโตมาพร้อมกับผม ผ่านแนวเพลงและศิลปินที่ผมชื่นชอบในแต่ละปี บางครั้งเวลามีเพื่อนๆ ยืมไปใช้ ถ้าพวกเขาเจอเพลงที่ถูกใจ พวกเขาก็ชื่นชอบและมักจะขอยืมฟังบ้างเป็นประจำ ผมรู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ไปโดยปริยาย

สุดท้ายแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปกี่ปี ผมได้เห็นอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ ออกมามากมาย แต่ผมกลับไม่อยากเปลี่ยนอุปกรณ์ฟังเพลงของผมเลย เพราะผมรู้สึกเสียดายอัลบั้มเพลงต่างๆ ที่ซื้อไว้

ผมติดเจ้าไอพอดเครื่องนี้แบบถอนตัวไม่ขึ้นเหมือนที่อียาร์อธิบายปรากฏการณ์นี้ด้วย Hook Model ไม่ผิดเพี้ยนเลยครับ

 

สรุปสุดท้ายก่อนวางหนังสือ Hooked

ผมคิดว่า Hooked เป็นหนังสืออีกเล่มที่ช่วยให้เราเข้าใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ยิ่งเราเข้าใจความคิด ความต้องการ และพฤติกรรมของผู้บริโภคมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้ข้อมูลที่ดีสำหรับนำไปใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของพวกเขาได้มากเท่านั้น

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำงานสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และอยากให้ลูกค้าใช้มันซ้ำๆ ซื้อมันซ้ำๆ ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรพลาดหนังสือดีๆ เล่มนี้เด็ดขาดเลยครับ

ถ้าคุณสนใจแนวคิดของอียาร์ ลองเข้าไปติดตามผลงานอื่นๆ ของเขาได้ที่เว็บไซต์ของเขาได้เลยครับ

 

หนังสือที่อาจจะน่าสนใจกว่า Hooked

  • ถ้าคุณกำลังเริ่มพัฒนาธุรกิจในรูปแบบสตาร์ทอัพอยู่ นอกจากแนวคิดดีๆ จากหนังสือ Hooked แล้ว คุณสามารถอ่านเทคนิคการทำธุรกิจสตาร์ทอัพเพิ่มได้จากหนังสือ All in Startup
  • คนเรามักต้องการแรงบันดาลใจดีๆ เวลาคิดงานสักชิ้น ผมอยากแนะนำให้คุณลองค้นหาแรงบันดาลใจในแบบฉบับของ Pixar จากหนังสือ Creative, Inc. ดูนะครับ
  • ถ้าคุณอยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ คุณอาจต้องการวิธีคิดอื่นๆ นอกจากวิธีสร้างผลิตภัณฑ์ ซึ่งหนังสือ “เปลี่ยนคนธรรมดาให้มีหัวธุรกิจใน 3 ชั่วโมง” ได้รวบรวมทุกอย่างเอาไว้ในเล่มเดียวเรียบร้อยแล้ว

 

6 thoughts on “สรุปหนังสือ Hooked ทำอย่างไรลูกค้าถึงจะติดใจสินค้าของเรา?

    • Tum Piyapong says:

      ขอบคุณครับ สำนักพิมพ์บิงโกตั้งใจนำหนังสือความรู้พัฒนาตัวเองและบริหารธุรกิจแนวใหม่ จากต่างประเทศส่งตรงถึงผู้อ่านครับ ^^

  1. Pingback: สรุปหนังสือ Digital Minimalism ใช้ชีวิตแบบมินิมอลบนโลกดิจิตอล

  2. Pingback: สรุปหนังสือ Indistractable เทคนิคทำงานแบบใจจดจ่อไม่มีว้าวุ่น

  3. Pingback: สรุปหนังสือ Permission Marketing ขายออนไลน์แล้วทำไมยังเจ๊ง - สำนักพิมพ์บิงโก

  4. Pingback: สรุปหนังสือ Purple Cow อยากสำเร็จต้องเป็นวัวสีม่วง - สำนักพิมพ์บิงโก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก