คุณเคยเจอสถานการณ์แย่ๆ อย่าง “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด” ไหมครับ?
มันน่าแปลกอยู่เหมือนกัน เพราะตอนเด็กๆ เรามักถูกสั่งสอนอยู่เสมอว่า “ทำดีได้ดี” แต่ทำไมบางครั้งเวลาเราทำดี เรากลับต้องพบกับเรื่องไม่ดี เวลาเรามีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น เรากลับโดนเอาเปรียบราวกับว่าพวกเขา “หลอกใช้” ความมีน้ำใจของเรา หรือนี่หมายความว่า “เราไม่ควรทำดีหรือให้อะไรกับใคร?”
ความจริงแล้วโลกของเราไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอกครับ แต่บางครั้งคุณแค่ต้องรู้จัก “การให้” ให้ดีกว่านี้
อดัม แกรนท์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา เจ้าของหนังสือชื่อดังอย่าง Originals และ Give and Take เล่มนี้ ได้ทำการศึกษาเรื่อง “การให้” จนเขาพบว่า ยิ่งคุณรู้จักให้โดยไม่หวังผลตอบแทนมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งได้รับกลับคืนมามากขึ้นไปอีก
เรามาดูกันดีกว่าครับว่าเรื่องราวน่าสนใจของ “การให้” ที่ช่วยให้ “ทำดีได้ดี” เกิดขึ้นจริงนั้น แกรนท์ได้รวบรวมอะไรเอาไว้บ้าง
รวมข้อคิดดีๆ ที่หนังสือ Give and Take อยากบอกคุณ
- ถ้าสิ่งที่คุณ “ให้” มากกว่าสิ่งที่คุณ “รับ” คุณจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าทั้งแบบส่วนตัวและส่วนรวม
- ลองเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด”
- คุณสามารถแก้อาการหมดไฟได้ด้วย “การให้”
- รู้จักใช้ประโยชน์ของการสื่อสารแบบอ่อนน้อมถ่อมตน
คุณเป็นคนแบบไหนระหว่างผู้ให้ ผู้รับ และผู้แลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
แกรนท์เริ่มต้นเรื่องราวในหนังสือ Give and Take ด้วยการแบ่งคนในโลกนี้ออกเป็น 3 ประเภทคือ
- ผู้ให้
- ผู้รับ
- ผู้แลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
จากการศึกษาของแกรนท์ เขาจึงพบว่าคนแต่ละประเภทต่างมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกัน แต่ “ผู้ให้” จะเป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้มากกว่าใคร และ “ผู้ให้” ยังมีโอกาสกองอยู่ที่จุดต่ำสุดได้มากกว่าใครด้วยเช่นกัน
แล้วคนแต่ละประเภทนั้นมีความพิเศษหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
คนแบบไหนถึงเป็น “ผู้ให้”
ถ้าคุณมีเพื่อนสักคนที่มักจะให้คำแนะนำดีๆ หยิบยื่นโอกาสให้กับเรา คิดถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม หรือช่วยเหลือเราในยามที่ลำบากโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เพื่อนของคุณคนนี้เป็น “ผู้ให้” ครับ
แกรนท์อธิบายว่า ผู้ให้เป็นคนที่ “ให้” มากกว่า “รับ” พวกเขาใจดี เสียสละ และมักจะไม่เอาความดีความชอบมาใส่ตัวเอง แต่เลือกที่จะมอบมันให้กับทีมหรือคนที่สมควรจะได้รับแทน นิสัยสำคัญอีกอย่างก็คือ ผู้ให้จะไม่คิดถึงผลประโยชน์ที่พวกเขาควรต้องได้ และพวกเขาจะรู้สึกดีเสมอเวลาที่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่น
แกรนท์ยกตัวอย่างบุคคลที่เรียกได้เต็มปากว่า “ผู้ให้” นั่นก็คือ จอร์จ เมเยอร์
จอร์จ เมเยอร์ เป็นนักเขียนบทของซีรีส์เรื่องดังอย่าง เดอะ ซิมพ์สัน เขาเป็นคนที่ปลุกปั้นเรื่องราวสุดสนุกของซีรีส์นี้มากว่า 300 ตอน แต่เขากลับใส่ชื่อตัวเองลงไปท้ายเครดิตเพียง 12 ตอน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของเมเยอร์ไม่ใช่การที่ชื่อของเขาปรากฏขึ้นมาตอนท้ายเครดิต แต่มันเป็นความสนุกสนานของผู้ชมและความสำเร็จของเดอะ ซิมพ์สันมากกว่า
เมเยอร์จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของ “ผู้ให้” ที่เข้าใจถึงการทำงานเป็นทีมและสร้างความสำเร็จร่วมกัน
คนแบบไหนถึงเป็น “ผู้รับ”
ถ้าคุณมีเพื่อนสักคนที่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง ชอบรับมากกว่าให้ และคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าส่วนรวม เพื่อนของคุณคนนี้เป็น “ผู้รับ” ครับ
ถ้าคุณลองสังเกตให้ดีๆ ผู้รับมักจะเป็นคนที่ถือตัวเองเป็นใหญ่ เวลาต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม ผู้รับมักจะใช้คำเรียกแทนตัวเองว่า “ฉัน” มากกว่าคำว่า “เรา” นอกจากนี้พวกเขายังมีทักษะการพูดที่ดีและทรงพลัง ซึ่งมันมักจะช่วยให้ผู้รับโน้มน้าวใจผู้ฟังได้เป็นอย่างดี
บุคคลตัวอย่างที่แกรนท์คิดว่าเป็น “ผู้รับ” ก็คือ เคนเนธ เลย์
เคนเนธ เลย์ เป็นอดีต CEO ของ Enron ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน เขาเป็น CEO ที่ประสบความสำเร็จและทำเงินได้สูงมาก ครั้งหนึ่งเลย์ขายหุ้นได้เงินมากถึง 70 ล้านดอลลาร์! แต่จากนั้นไม่นานบริษัทก็ล้มละลายและพนักงานมากกว่า 20,000 คนต้องตกงาน
คุณอย่าเพิ่งตัดสินไปเองว่าผู้รับเป็นคนที่แย่หรือไม่ดีนะครับ เพราะแกรนท์ยังได้ยกตัวอย่างบุคคลชื่อดังอีกคนที่เป็น “ผู้รับ” ด้วย เขาคนนั้นคือ ไมเคิล จอร์แดน
ไมเคิล จอร์แดน เป็นนักบาสเกตบอลระดับตำนานของ NBA ครั้งหนึ่งในสมัยที่เขาเป็นผู้เล่น จอร์แดนคือคนที่กล้าออกมาพูดเพื่อเรียกร้องส่วนแบ่งรายได้ของทีมให้มากขึ้น ซึ่งปรัชญาของเขาก็คือ “คุณจะประสบความสำเร็จได้ คุณต้องรู้จักเห็นแก่ตัวบ้าง”
แกรนท์อธิบายลักษณะนิสัยของผู้รับว่า คนกลุ่มนี้มักมองว่าโลกนี้เต็มไปด้วยการแข่งขัน ถ้าพวกเขาอยากเอาตัวให้รอด พวกเขาจะต้องคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองให้มาก พายหนึ่งถาดคงไม่สามารถแบ่งให้ทุกคนได้ ดังนั้นมันก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะอยากได้ชิ้นที่ใหญ่กว่าใคร
คนแบบไหนถึงเป็น “ผู้แลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม”
ถ้าคุณมีเพื่อนสักคนที่มองหาข้อแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เช่น “ฉันจะทำสิ่งนี้ให้คุณ ถ้าคุณทำอันนี้แทนฉัน” เวลาถูกใครทำไม่ดีมาก็มักจะตอบโต้กลับไป เพื่อนของคุณคนนี้เป็น “ผู้แลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม” ครับ
แกรนท์อธิบายว่า ผู้แลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมมักเป็นนักเจรจาที่ยอดเยี่ยม พวกเขาสามารถต่อรองขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ เพื่อแลกกับการทำอะไรบางอย่างให้ไป เช่น ขอให้เพื่อนบ้านช่วยให้อาหารสัตว์เลี้ยงแทนในวันพรุ่งนี้แลกกับการแบ่งขนมเค้กอร่อยๆ ที่เพิ่งอบเสร็จจากเตา โดยสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือ ข้อเสนอจะต้องยุติธรรมต่อทุกฝ่ายไม่ใช่แค่ตัวเขาหรือใครคนใดคนหนึ่ง
ทำไมผู้ให้ถึงเป็นกลุ่มที่ทั้งประสบความสำเร็จสูงสุดและล้มเหลวสูงสุด?
แกรนท์บอกเราในตอนต้นไปแล้วว่า “ผู้ให้” คือคนที่มีโอกาสก้าวไปยืนบนจุดสูงสุดได้มากที่สุด แต่ “ผู้ให้” ก็ยังเป็นคนที่มีโอกาสกองอยู่ตรงจุดต่ำสุดด้วยเช่นกัน
คำถามก็คือ ทำไมถึงเกิดเรื่องที่แตกต่างกันได้มากเช่นนี้?
แกรนท์บอกว่า แม้ว่าผู้ให้จะเสียเวลาของตัวเองไปกับการช่วยเหลือผู้อื่น แต่ในระยะยาวแล้วพวกเขามักจะได้รับความช่วยเหลือตอบแทนกลับมาเช่นกัน นอกจากนี้ผู้ให้ยังเป็นที่รักใคร่ในที่ทำงาน เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น พวกเขาจึงมีแต่มิตรไม่มีศัตรู แต่ถ้าเป็นผู้รับ พวกเขามักจะสร้างศัตรูตลอดเวลาที่ทำงาน ดังนั้นเมื่อผู้รับได้เลื่อนตำแหน่ง พวกเขาก็ต้องเจอกับคนที่ไม่ชอบและจ้องจะขัดแข้งขัดขาพวกเขาอยู่เสมอ
บุคคลตัวอย่างของ “ผู้ให้” ที่ประสบความสำเร็จก็คือ อดีตประธานาธิบดี อับบราฮัม ลินคอล์น
ครั้งหนึ่งลินคอล์นเคยถอนตัวจากการลงเลือกตั้งเพื่อให้คู่แข่งของเขาเป็นฝ่ายชนะ เพราะทั้งเขาและคู่แข่งต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ การเลิกทาส ซึ่งคู่แข่งของเขามีโอกาสดีกว่าที่จะชนะ ต่อมาเมื่อลินคอล์นต้องลงเลือกตั้งอีกครั้งเขาก็ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากคู่แข่งตอบกลับมา
แล้วทำไมผู้ให้ถึงเป็นกลุ่มที่มีโอกาสล้มเหลวสูงที่สุดล่ะ?
แกรนท์อธิบายว่า ผู้ให้มักใจดีกับคนอื่นมากเกินไป พวกเขามักช่วยเหลือคนอื่นจนทำให้ตัวเองลำบาก เช่น ทำงานของตัวเองไม่ทัน สุดท้ายแล้วคนที่ต้องรับผลนั้นก็คือ ผู้ให้ นั่นเอง
อยากเป็นผู้ให้ที่ประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร?
การทำดีได้ดีนั้นมีอยู่จริง ดังนั้นถ้าคุณอยากเป็นผู้ให้ที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องรู้จัก “การให้” อย่างถูกวิธี ซึ่งผมได้สรุปข้อคิดดีๆ มาให้ดังนี้
รู้จักใช้ประโยชน์จากการสื่อสารแบบอ่อนน้อมถ่อมตน
คุณอาจจะคิดว่าคำพูดที่หนักแน่นและมีพลังจะช่วยโน้มน้าวใจคนได้ แต่ความจริงแล้วมันกลับมีโอกาสกดดันคนฟังได้มากเช่นกัน
ถ้าให้คุณเลือกระหว่างพนักงานขายที่ขายเก่ง บรรยายสรรพคุณของสินค้าได้ดี และพูดจาหนักแน่น กับพนักงานขายที่ไม่ยัดเยียดขายของ แต่มักถามถึงความต้องการของลูกค้าก่อนนำเสนอสินค้า คุณชอบพนักงานแบบไหนมากกว่ากัน?
พนักงานคนแรกอาจทำยอดขายได้ดีกว่าจึงมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เร็วกว่า แต่พนักงานคนที่สองจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่า ลูกค้าอาจไปบอกเพื่อนฝูงต่อ จนสามารถสร้างยอดขายกลับมาได้ในระยะยาว
พนักงานคนที่สองคือคนที่ใช้การสื่อสารแบบอ่อนน้อมถ่อมตนครับ
การสื่อสารแบบนี้จะเข้าใจจิตใจของคนฟังได้มากกว่า เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ดีกว่า และยังเจรจาต่อรองได้นุ่มนวลกว่าด้วย ดังนั้นคุณลองนำวิธีสื่อสารของพนักงานคนที่สองไปปรับใช้ดูนะครับ
รู้จักการให้โอกาสคน
ผู้ให้เป็นคนที่มองเห็นข้อดีของคนอื่นได้ง่าย ดังนั้นคุณจึงควรนำจุดเด่นนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เริ่มจากการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ฉายแววความเก่งออกมา คุณอาจเริ่มจากการให้โอกาสคนที่มั่งมุ่นสูงแต่ยังไม่เก่งนัก นอกจากคุณจะมีคนไว้คอยช่วยทำงานแล้ว เมื่อคนที่คุณให้โอกาสเติบโตขึ้นและเก่งขึ้น เขาจะนำพาความสำเร็จย้อนกลับมาสู่คุณในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอย่างแน่นอน
ไม่เอ็นดูเขา จนเอ็นเราขาดอีกต่อไป
คุณต้องเลิกใจดีมากเกินไปและต้องรู้จักปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนในบางครั้งด้วย ก่อนที่คุณจะช่วยเหลือใคร คุณต้องคิดให้ดีเสียก่อนว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรต่อตัวเรา ต่องาน หรือต่อครอบครัว เช่น เพื่อนร่วมงานของคุณอยากให้คุณช่วยออกแบบโลโก้ร้านกาแฟให้ แต่คุณมีงานแน่นมาก ถ้าคุณรับปาก นั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสทำงานไม่ทัน กรณีนี้คุณต้องรู้จักปฏิเสธบ้าง คุณอาจรู้สึกแย่ที่ไม่ได้ช่วยเหลือเพื่อน แต่ในมุมกลับกันถ้าการช่วยเหลือครั้งนี้ของคุณทำให้ทีมต้องเดือดร้อนเพราะคุณทำงานไม่ทัน คุณจะรู้สึกดีขึ้น
จุดไฟในตัวขึ้นอีกครั้งด้วย “การให้”
คอนเรย์ คัลลาแฮน เป็นครูที่รู้สึกหมดไฟจากปัญหานับไม่ถ้วนในการทำงาน แต่เธอกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้งด้วย “การให้” ซึ่งสิ่งที่เธอให้ก็คือ คำปรึกษาดีๆ แก่นักเรียนในช่วงสุดสัปดาห์
คุณอาจรู้สึกแย่เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่คุณสามารถเปลี่ยนความรู้สึกแย่ๆ เหล่านี้ให้เป็นพลังด้วย “การให้ครั้งใหม่” ได้ นอกจากคุณจะได้จุดไฟที่เคยมอดขึ้นมาใหม่แล้ว การให้ยังสามารถส่งต่อกันเป็นทอดจนเกิดเป็นสังคมแห่งการให้ที่น่าอยู่ขึ้นมาได้
สรุปสุดท้ายก่อนวางหนังสือ Give and Take
คุณอาจจะมองว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือโลกสวยเกินไปหรือไม่? ผมคิดว่าไม่เกินไปหรอกครับ เพราะหนังสือโลกสวยไม่เคยทำร้ายใคร เราต่างรู้ดีว่า “การให้” มีประโยชน์มากเพียงใด แต่อดัม แกรนท์กลับมีมุมมองใหม่ๆ ของการให้มาเล่าให้เราฟังได้อย่างน่าสนใจ แถมยังมีวิธีช่วยเปลี่ยน “การให้” นั้นให้เกิดแต่เรื่องดีๆ ตามมาได้อีกด้วย
Give and Take จึงเป็นหนังสือดีอีกเล่มหนึ่งของอดัม แกรนท์ ซึ่งทำให้เรารู้ว่า “ทำดีได้ดี” ยังเป็นเรื่องจริงอยู่เสมอนั่นเอง
อดัม แกรนท์ คือใคร?
อดัม แกรนท์ (Adam Grant) เกิดเมื่อปี 1981 เป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาลัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย นอกจากนี้เขายังเป็นนักเขียนชื่อดังเจ้าของผลงาน Originals, Give and Take และ Option B
คุณสามารถติดตามผลงานต่างๆ ของเขา เช่น หนังสือ การพูด และงานวิจัยต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ adamgrant.net
หนังสือที่อาจจะน่าสนใจกว่า Give and Take
นอกจาก Give and Take เล่มนี้ บิงโกมีหนังสือและบทความดีๆ อีกมากที่คุณอาจสนใจ ดังนี้
- เรายังมีบทสรุปหนังสือชื่อดังอีกเล่มของอดัม แกรนท์ อย่าง Originals หนังสือที่จะเผยเคล็ดลับการสร้างงานอย่างไรให้โลกจดจำ
- ถ้าคุณเป็น “ผู้ให้” ที่ชอบส่งต่อความสุขไปยังผู้อื่น เราอยากแนะนำให้คุณลองอ่านสรุปหนังสือเรื่อง Delivering Happiness ผลงานของโทนี่ เช ผู้สร้างแบรนด์เสื้อผ้าและรองเท้าออนไลน์อย่าง Zappos จนเป็นที่ประทับใจของลูกค้ามาแล้วนับไม่ถ้วน
- ถ้าคุณต้องหงุดหงิดหรือรู้สึกแย่เวลาทำดีแล้วไม่ได้ดี ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ด้วยแนวคิดดีๆ จากหนังสือ ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่ง ที่อาจจะพลิกชีวิต หน้าที่การงาน และความสัมพันธ์ของคุณได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
Pingback: สรุปหนังสือ Originals เผยเคล็ดลับวิธีสร้างงานให้โลกจำ
บทความน่าอ่่าน
ขอบคุณครับ สำนักพิมพ์บิงโกตั้งใจนำหนังสือความรู้พัฒนาตัวเองและบริหารธุรกิจแนวใหม่ จากต่างประเทศส่งตรงถึงผู้อ่านครับ ^^
Pingback: สรุปหนังสือ Drive แรงจูงใจอะไรทรงพลังกว่าชื่อเสียงและเงินทอง?
Pingback: สรุปหนังสือ Atomic Habits เปลี่ยนนิสัยแค่นิดเดียว แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้นในทุกวัน
Pingback: สรุปหนังสือ Tribes เป็นหัวหน้าเผ่าในโลกสมัยใหม่ - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ Permission Marketing ขายออนไลน์แล้วทำไมยังเจ๊ง - สำนักพิมพ์บิงโก