ต่อเนื่องจากบทความสัปดาห์ที่แล้ว “คิดยังไงให้ได้อย่าง อีลอน มัสก์” สัปดาห์นี้แอดเลยตัดสินใจต่อด้วยหนังสือชีวประวัติของเขา Elon Musk: Tesla, SpaceX, and the Quest for a Fantastic Future ที่ถูกเขียนขึ้นโดย Ashlee Vance นักเขียนชาวอเมริกันที่ชนะรางวัลจากนิตยสาร Bloomberg Businessweek มาแล้ว
หนังสือมีตราการันตีดีขนาดนี้ ว่าแล้วก็ไปเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ
สิ่งที่ผลักดันอีลอน มัสก์: อนาคตของเรา
การจะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนลองแล้วเหลว แต่อีลอน มัสก์ กลับทำสำเร็จถึงสองครั้ง เขาทำได้ยังไง?
อย่างนึงคือมุมมองที่เขามีต่อโลกใบนี้ อีลอนไม่ใช่ผู้ประกอบการที่หิวกระหายเงินทองที่เราเห็นได้ทั่วไปในซิลิคอนวัลเลย์ เขาคิดถึงคนอื่น เขาอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยการย้ายถิ่นที่อยู่ไปบนดาวอังคาร อีลอนมองว่าโลกเราตอนนี้เสี่ยงต่อการโดนอุกกาบาตพุ่งชน และทรัพยากรที่ใช้กันทุกวันนี้ก็ลดน้อยถดถอยลงทุกที บ้านของเรากำลังผุพังลงเรื่อยๆ
อีลอนห่วงเรื่องนี้อยู่ตลอด เขาเลยตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ทุกอย่างก็ไม่ราบรื่นไปเสียหมด บางครั้งอีลอนก็ตั้งเป้าเกินตัว บางครั้งก็เผลอพูดจาร้ายๆ ใส่พนักงานของตัวเอง อย่างตอนนึงที่เขาตะคอกใส่พนักงานที่ไม่ยอมมางานอีเวนต์ของบริษัท แต่หยุดไปดูเมียคลอดลูกแทน อีลอนถึงขนาดบอกพนักงานคนนั้นว่าต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญเสียใหม่ คุณผู้อ่านบางคนอาจคิดว่าเขาใจไม้ไส้ระกำ แต่คนอย่างอีลอนถ้าไม่ทุ่มสุดตัวเพื่อพลิกหน้าประวัติศาสตร์ เขาก็เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยเสียดีกว่า
กระนั้นอีลอนก็ยังเป็นที่เคารพรักของทีมงาน โดยเฉพาะในด้านการพิชิตเป้าหมาย เพราะนั่นหมายถึงความสำเร็จ อีลอนแสดงคนรอบตัวเห็นว่า “เขาเอาจริง” ตารางการทำงานของเขาเริ่มด้วย
วันจันทร์และอังคาร เข้าสำนักงาน SpaceX ที่ลอสแอนเจลิส
วันพุธและพฤหัส ทำงานต่อที่ Tesla ในพาโลอัลโต
จากนั้นเขาจึงบินกลับลอสแอนเจลิส
มีเพียงคนที่รักและเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเท่านั้น ถึงทุ่มเทได้ขนาดนี้
กว่าจะมาเป็นอีลอน มัสก์: ความทรงจำในวัยเด็ก
อย่างที่แอดเกริ่นไปแล้วในช่วงแรกว่าที่อีลอน มัสก์ ประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความทุ่มเทและการตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเขา แต่อะไรกันแน่นะที่ทำให้อีลอนเป็นอีลอนได้อย่างทุกวันนี้?
เรื่องมันเริ่มจากชีวิตในวัยเด็กที่แอฟริกาใต้
อีลอนตอนเด็กๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เขาไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเท่าไหร่ หลังจากพ่อกับแม่เขาแยกทางกัน อีลอนก็ยังเลือกอยู่กับพ่อเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนพ่อ ชีวิตที่เขาเลือกไม่ราบรื่นนัก เพราะอยู่บ้านก็มีปัญหากับพ่อ ไปโรงเรียนก็โดนเพื่อนแกล้ง เขาเคยโดนแกล้งหนัก ได้รับบาดเจ็บจนต้องหยุดโรงเรียนไปเป็นอาทิตย์
อีลอนหนีจากเรื่องแย่ๆ ด้วยการอ่านหนังสือ เขามีความจำเป็นเลิศ อีลอนอ่านสารานุกรมจบไป 2 เล่มโดยจำเนื้อหาได้ทุกอย่าง
นิยายไซไฟคอมเมดี้เรื่อง The Hitch Hiker’s Guide to the Galaxy เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีอิทธิพลต่ออีลอนมากที่สุด มันทำให้เขารู้ว่า การตอบคำถามนั้นง่าย แต่การตั้งคำถามที่เหมาะสมนั้นยากเอาการทีเดียว
ตอนเรียนม.ปลาย อีลอนเริ่มตั้งคำถามที่ยิ่งใหญ่ เขาเริ่มเสาะหาวิธีพัฒนาความเป็นอยู่ของมนุษย์ เขาสนใจความรู้แทบทุกแขนง ตั้งแต่พลังงานแสงอาทิตย์ การบุกครองดาวดวงอื่น ยานอวกาศ ไปจนถึงการเงิน
อีลอนขายเกม Blastar ที่สร้างขึ้นมาเองได้ 500 ดอลลาร์ตั้งแต่อายุ 12 ฉายแววของผู้ประกอบการมาแต่ไกล
ติดปีก: ชีวิตในรั้วมหา’ลัย
ต่อมาในปี 1988 อีลอนตัดสินใจบินออกจากแอฟริกาใต้เพราะไม่อยากเข้ากรมทหาร เขาอยากไปอเมริกา แต่ช่วงแรกเขาได้ย้ายไปอยู่กับญาติที่แคนาดาก่อน อีลอนต้องย้ายจากบ้านญาติคนนึงไปบ้านญาติอีกคนอยู่เรื่อยๆ และหางานเล็กๆ น้อยๆ ทำได้เท่านั้น แต่ต่อมาเขาก็สมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยควีนส์ อีลอนเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เขาทะเยอทะยานมากกว่าสมัยม.ปลาย ลงแข่งพูดในที่สาธารณะ เรียนธุรกิจ และได้พบกับแฟนสาวที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด จัสติน วิลสัน ที่ต่อมาได้แต่งงานกับอีลอนและให้กำเนิดลูกชายถึง 6 คน
ตอนแรกจัสตินไม่สนใจอีลอนเลย แต่อีลอนก็ตามตื๊อเธอ อย่างตอนที่จัสตินไม่ไปหาเขาที่ร้านไอศกรีมตามนัดเดทครั้งแรก อีลอนก็หาจนได้ว่าเธอเรียนที่ไหนและถามเพื่อนของเธอว่าเธอชอบกินไอศกรีมรสอะไร อีลอนไปพบเธอพร้อมกับไอศกรีมรสช็อกโกแลตชิพ การทุ่มเทเพื่อความความสำเร็จนี้เองที่จะไปมีบทบาทสำคัญในทุกช่วงชีวิตของอีลอน
หลังจากเรียนที่ควีนส์ไปได้ 2 ปี อีลอนก็ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เขาสนิทกับเพื่อนที่เรียนฟิสิกส์ด้วยกันมากขึ้น และก็ได้พบกับเพื่อนอีกคนที่ไม่ใช่แค่เพื่อนเรียน แต่คุยกันเรื่องเงินได้ด้วย อีลอนกับอาดีโอ เรสซี่ เช่าบ้าน 14 ห้องนอนอยู่ด้วยกัน พวกเขาเปิดให้นักศึกษาเข้ามาจัดปาร์ตี้กันได้ โดยคิดค่าเข้า 5 ดอลลาร์ มีอยู่คืนนึงที่พวกเขาทำเงินได้เยอะมาก ถึงขนาดจ่ายค่าเช่าบ้านได้ทั้งเดือนเลยทีเดียว!
สตาร์ทอัพแห่งแรก: สมุดหน้าเหลืองออนไลน์ Zip2
หลังจากเรียนจบมหา’ลัย อีลอนก็พร้อมก้าวเข้าสู่โลกดอทคอม ในปี 1995 อีลอนและน้องชายสร้างบริษัท Global Link Information Network ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้คนค้นหาธุรกิจท้องถิ่นบนอินเทอร์เน็ตได้ เช่น ร้านพิซซ่าใกล้บ้านคุณ เป็นต้น
แต่อะไรๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิดในช่วงแรก อีลอนกับน้องชายตรากตรำทำงานหนักแต่ก็ยังขายไม่ออก ลูกค้าหลายรายปฏิเสธข้อเสนอ รายที่ “เหมือนจะ” ขายได้ก็กลับตอกหน้าพวกเขาว่า “อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินเลย”
อย่างไรก็ตาม บริษัทแห่งนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Zip2 และถูก Compaq ซื้อไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 เป็นเงินสด 307 ล้านดอลลาร์ และในส่วนของหุ้น 34 ล้านดอลลาร์ อีลอนได้ส่วนแบ่งจากการขาย 7% หรือ 22 ล้านดอลลาร์ เขาปฏิเสธที่จะทำงานที่ Compaq ต่อ และเดินหน้าทำโปรเจกต์ใหม่ อีลอนตัดสินใจจะเป็นซีอีโอที่ประสบความสำเร็จให้ได้
จุดเริ่มต้นชื่อเสียง: กระเป๋าเงินออนไลน์ PayPal
ตามแบบฉบับเศรษฐีหน้าใหม่ อีลอนนำเงินที่ขาย Zip2 ได้ไปซื้อรถสปอร์ต McLaren คอนโด และเครื่องบินลำเล็ก ส่วนเงินที่เหลือถูกนำไปลงทุนกับสตาร์ทอัพตัวใหม่ X.com ซึ่งเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วย
ในตอนนั้น คนแทบจะไม่อยากซื้อหนังสือออนไลน์ด้วยซ้ำ เรื่องแชร์ข้อมูลบัญชีธนาคารบนอินเทอร์เน็ตนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ด้วยการจับมือกับ Barclays บริษัทผู้ให้บริการด้านการเงินสัญชาติอังกฤษ อีลอนจึงสร้าง X.com ผู้ให้บริการการเงินออนไลน์แห่งแรกของโลกได้สำเร็จ ทั้งยังมีหน่วยงานประกันเงินฝากของรัฐบาล (FDIC) และกองทุนรวมอีก 3 กองทุนคอยซัพพอร์ต
อะไรๆ ก็ดูจะราบรื่นดี จนกระทั่ง X.com เจอตอเข้าให้
แม็กซ์ เลฟชิน และปีเตอร์ ธีล มี Confinity ระบบการจ่ายเงินของตัวเองอยู่แล้ว และต่อมาก็สร้าง PayPal ขึ้น
X.com ของอีลอนจึงต้องแข่งขันกับ PayPal แต่สุดท้ายก็ตกลงปลงใจร่วมมือกันในเดือนมีนาคม ปี 2000 เพราะต่างมองว่า Confinity มีผลิตภัณฑ์ที่น่าดึงดูดมากกว่า (PayPal) ส่วน X.com มีเงินถุง การร่วมมือจึงฟังดูสมเหตุสมผลดี
แต่เรื่องก็เกิดอีกจนด้ายยยยค่ะ อีลอนเคยถูกปฏิเสธตำแหน่งซีอีโอที่ Zip2 มาทีนึงแล้ว คราวนี้ก็อีกรอบ เมื่อตอนที่เขาและภรรยา จัสติน ขึ้นเครื่องบินไปฮันนีมูน เหล่าผู้บริหารก็เข้าบริษัทไปขอให้ปีเตอร์ ธีล กลับมาเป็นซีอีโอ ส่วนอีลอนถูกทิ้งให้เป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น ถือเป็นความเผด็จการที่โหดร้ายมากครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของซิลิคอนวัลเลย์
บริษัทเปลี่ยนชื่อจาก X.com เป็น PayPal และถูกขายกิจการต่อให้ eBay ในเดือนกรกฎาคมปี 2002 มูลค่า 1 พัน 5 ร้อยล้านดอลลาร์ อีลอนได้รับส่วนแบ่ง 250 ล้านดอลลาร์ ด้วยจำนวนเงินขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่เลยล่ะค่ะ
ดาวดวงใหม่: ผู้ผลิตจรวดและยานอวกาศ SpaceX
ในปี 2001 อีลอนในวัยย่างเข้าเลข 3 ตัดสินใจพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิส ใกล้ๆ กับศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานอวกาศ
อีลอนอยากจะเข้ามาสู่วงการนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในตอนนั้นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ชื่อ Mars Society กำลังปลุกปั้นโครงการส่งหนูไปที่วงโคจรนอกโลก แต่อีลอนคิดไกลกว่านั้น ทำไมไม่ส่งไปอยู่ที่ดาวอังคารเลยล่ะ? ผ่านไปหลายเดือน โครงการนั้นถูกพับเก็บ แต่อีลอนยังคงเดินหน้าต่อ
ในเดือนมิถุนายนปี 2002 อีลอนก่อตั้งบริษัท SpaceX ขึ้นมาโดยตั้งใจให้ SpaceX เป็นเหมือนสายการบิน South-West Airlines ที่มีชื่อเสียงในราคาตั๋วโคตรถูก อีลอนก็อยากสร้างจรวดแบบถูกๆ เหมือนกัน!
อีลอนเริ่มลงมือเตรียมประกอบยานทันที และตั้งเป้าว่าจะสร้างตัวเครื่องตัวแรกให้เสร็จภายในเดือนพฤษภาคมปี 2003 เครื่องตัวที่สองภายในเดือนมิถุนายน เปลือกเครื่องภายในเดือนกรกฎาคม ประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกันภายในเดือนกันยายน และส่งจรวดในเดือนพฤศจิกายน 15 เดือนหลังจากเพิ่งก่อตั้งบริษัทเท่านั้น!
แน่นอนว่าโครงการนั้นเหลวไม่เป็นท่า จรวดลำแรกของ SpaceX กินเวลาถึง 4 ปีด้วยกัน ซึ่งแม้จะไม่ชอบใจ แต่อีลอนก็เข้าใจว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา และเขาก็จะไม่ยอมแพ้จนกว่า SpaceX จะประสบความสำเร็จ
และถ้าชื่อเสียงของ SpaceX ในทุกวันนี้บอกอะไรเราบางอย่างได้ แอดว่าความตั้งใจของอีลอน
นำเทรนด์: ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานทดแทน Tesla Motors
รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ในอดีต เพราะถ้าพูดถึงรถ 4 ล้อ ใครๆ ก็ชอบจากัวร์หรือเฟอร์รารี่กันทั้งนั้น แต่ผู้ชายคนนึงกลับผลักดันให้รถก๊องแก๊งในสายตาคนทั่วไปขึ้นมาเป็นรถสุดคูลได้ และเขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อีลอน มัสก์ ของเรานี่เอง
มันเริ่มจากที่มาร์ติน เอเบอร์ฮาร์ด และมาร์ค ทาร์เพนนิ่ง ร่วมกันก่อตั้ง Tesla ขึ้นมาในปี 2003 และเจ.บี. สเตราเบล เข้ามาร่วมด้วยในภายหลัง
ในขณะที่เหล่านักลงทุนไม่ยอมลงทุนกับ Tesla อีลอนกลับทุ่มเงินให้มันกว่า 6.5 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นเพียงหนึ่งเดียวใน Tesla แถมได้นั่งเป็นประธานหัวโต๊ะด้วย อีลอนคิดว่า Tesla จะเป็นตัวปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่นิยมขึ้นมา มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย
และแม้ Tesla จะไม่ได้เริ่มต้นหวือหวานัก แต่ก็ประสบความสำเร็จในที่สุด กลางปี 2012 Tesla เปิดตัวรถซีดาน Model S ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการยานยนต์ไปตลอดกาล ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตต่อเนื่อง และเซ็นเซอร์ที่ให้คนขับติดเครื่องได้โดยไม่ต้องกดปุ่มอะไรเลยแม้แต่ปุ่มเดียว หลายคนเรียก Model S นี้ว่า “คอมพิวเตอร์ติดพวงมาลัย”
เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้นเองที่ Model S ถูกยกย่องให้เป็นรถยอดเยี่ยมแห่งปี และนี่ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาซิลิคอนวัลเลย์แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์เลย ตัวอีลอนเองก็ไม่เคยผลิตรถยนต์มาก่อนเลยด้วย แต่เราก็ได้เห็นแล้วว่าความมุ่งมั่นทุ่มเทของเขานั้นหนักแน่นแค่ไหน ก็คงไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสักเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะคะ
อีกหนึ่งทางเลือก: ผู้ให้บริการด้านพลังงาน SolarCity
ทั้ง SpaceX, Tesla, และ SolarCity เป็นบันไดให้อีลอนได้ไต่ขึ้นไปคว้าเป้าหมายหนึ่งเดียวของเขา ซึ่งก็คือ อนาคตของมวลมนุษยชาติ
อีลอนอยากเข้าสู่วงการพลังงานแสงอาทิตย์มานานแล้ว พอเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขาจากตระกูล Rive กำลังหาไอเดียใหม่ๆ อีลอนเลยเข้ามาเสนอไอเดียเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์
สองพี่น้อง Rive ใช้เวลากว่า 2 ปีในการศึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ พวกเขาพบว่า แม้แผงโซล่าเซลจะถูกลง แต่ราคาและแรงงานที่ต้องใช้ในการติดตั้งก็ยังไม่น่าคบหาด้วยสักเท่าไหร่ พี่น้อง Rive เลยลงมาจัดการตรงนี้ด้วยเสียเลย พวกเขาเสนอให้บริการตั้งแต่ต้นยันจบงาน ตั้งแต่เลือก ซื้อ ไปจนถึงติดตั้งแผงโซล่าเซล
อีลอนเองก็ช่วยเรื่องภายในบริษัทจนได้นั่งเป็นประธานและผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุด (อีกแล้ว!?) 6 ปีต่อมา SolarCity ก็ได้กลายเป็นบริษัทผู้ให้บริการติดตั้งแผงโซล่าเซลที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา แตะเป้าหมายที่ต้องการให้การติดตั้งแผงโซล่าเซลเป็นเรื่องง่ายๆ ได้สำเร็จ ในปี 2014 SolarCity ถูกประเมินไว้เกือบ 7 พันล้านดอลลาร์ เทียบเท่าได้กับธุรกิจใหญ่ๆ อย่าง Walmart และ Intel เลยทีเดียวเชียว
ธุรกิจของอีลอนมัสก์ แม้ต่างจะประสบความสำเร็จ แต่พวกมันก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี Tesla ผลิตแบตเตอรี่ให้ SolarCity เอาไปขายให้ผู้บริโภครายย่อยต่อ และ SolarCity ก็สร้างสถานีชาร์จด้วยแผงโซล่าเซลให้กับ Tesla
และถึงแม้เหล่านี้จะเป็นผลงานจากความรักและเอาใจใส่ของอีลอนเกี่ยวกับรถยนต์ แผงโซล่า และแบตเตอรี่ แต่พวกมันก็เป็นเพียงโครงการเล็กๆ ของอีลอน เพราะไม่ว่าจะยังไง เป้าหมายที่ปลายทางของอีลอนก็ยังคงเป็นการทำให้มั่นใจว่ามนุษย์จะมีอนาคตที่สว่างไสว
ความพยายามทั้งหมดของอีลอนอยู่ได้ด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว
สรุปกันหน่อย
อีลอน มัสก์ มีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก แต่ด้วยความใฝ่รู้และจิตใจมุ่งมั่น สภาพแวดล้อมจึงไม่ใช่สิ่งที่จะหยุดเขาได้ และผลลัพธ์ก็คือต้นแบบไอรอนแมนที่เราเห็นกันอย่างทุกวันนี้ อีลอนไม่เพียงแต่เป็นวิศรวกร เขายังมีหัวด้านธุรกิจเป็นเลิศอีกด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเป้าหมายในการปกป้องอนาคตที่ไม่แน่นอนของมวลมนุษยชาติ และนี่คือสิ่งสำคัญที่เราไม่ได้เห็นกันบ่อยนักจากนักธุรกิจในซิลิคอนวัลเลย์ สถานที่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและเงินทุนหมุนเวียนมหาศาล แต่กลับมีเพียงหยิบมือที่อยากทำเพื่อคนธรรมดาอย่างเราๆ จริงๆ
บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ
- The Secret Life of Elon Musk บุรุษผู้เปลี่ยนนิยายวิทยาศาตร์ให้เป็นความจริง เป็นอีกบทความของเราเกี่ยวกับอีลอน มัสก์ แต่เน้นเจาะลึกเรื่องประวัติความเป็นมาของเขามากกว่า
- อีลอน มัสก์ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมองว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าไฟฟ้าหรืออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร AI จะมีผลต่อคุณไม่ช้าก็เร็ว และคนที่รู้จักมันเร็วที่สุด ก็คือคนที่จะคว้าโอกาสใหญ่ได้ก่อนใคร
หนังสือที่อาจจะดีกว่า Elon Musk by Ashlee Vance
- You Only Have to be Right Once คือหนังสือชีวประวัติที่รวบรวมเรื่องราวบุคคลดังจากซิลิคอนวัลเลย์มาไว้ในที่เดียว และ Elon Musk คือหนึ่งในนั้นด้วย
- สูตรลับความเก่งของอีลอนคือการทุ่มเททำงานหนัก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้สูตรนั้นได้ผล การพักผ่อนเป็นอีกสูตรหนึ่งที่ทำให้อัจฉริยะทำงานได้อย่างไม่มีวันหมดไฟ ตามไปอ่านรายละเอียดกันได้ในหนังสือ คนเก่ง พักเป็น
- ธุรกิจแต่ละอย่างของอีลอนมีแต่ล้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์พลังงานทดแทนหรือจรวดอวกาศ หนังสือ รู้ทันอนาคตที่ (อาจจะ) ไม่มีคุณ จะพาคุณเดินทางผ่านโลกอนาคตที่ยิ่งล้ำ ไปดูกันว่า
Pingback: The Secret Life of Elon Musk บุรุษผู้เปลี่ยนนิยายวิทยาศาสตร์ให้เป็นความจริง
Pingback: สรุปหนังสือ Tribes เป็นหัวหน้าเผ่าในโลกสมัยใหม่ - สำนักพิมพ์บิงโก