หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของ เดวิดและโกไลแอธ (David & Goliath) ในคัมภีร์ไบเบิลกันมาบ้างแล้ว หรือถ้าใครยังไม่เคย วันนี้แอดก็จะมาเล่าย่อๆ ให้ฟังสักเล็กน้อย
เดวิดและโกไลแอธ เป็นนิทานเกี่ยวกับเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งที่เอาชนะนักรบตัวมหึมาได้ด้วยความเฉลียวฉลาดและความแม่นยำในการยิงหนังสติ๊ก นิทานเรื่องนี้มักถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่า ไก่รองบ่อนก็เหนือกว่าได้ ไม่ว่าคู่แข่งจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม
แต่ถ้าเรามาลองวิเคราะห์แบบจริงจัง เดวิดเป็นไก่รองบ่อนจริงๆ หรอ?
ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอกค่ะ
เพราะ “หนังสติ๊ก” ที่เดวิดใช้เป็นอาวุธที่ทรงพลังไม่น้อย ดีดลูกหินไปทางศัตรูด้วยความเร็วสูงก็ได้ แถมยังได้เปรียบเรื่องระยะทางที่ดาบเอื้อมไม่ถึง หินในหุบเขาก็แข็งมาก กระทบอะไรก็ไม่แตก ตัวเดวิดเองก็เชี่ยวชาญในการใช้หนังสติ๊กอยู่แล้ว เพราะเขาใช้มันปกป้องฝูงแกะจากฝูงหมาป่าทุกวี่วัน น
อกจากนี้ ร่างกายที่ใหญ่โตของโกไลแอธก็ไม่ได้ช่วยให้เขาได้เปรียบไปเสียทีเดียว เพราะมันมากับผลข้างเคียงที่ทำให้ประสาทตาของเขาถูกกดทับจนเห็นภาพซ้อนและพร่ามัว (สันนิษฐานว่าเป็นโรค Acromegaly แอดจะใส่ลิงก์เพื่อการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมไว้ด้านล่างนะคะ)
จากข้อมูลเบื้องต้น เราอาจสรุปได้ว่า เดวิดชนะแบบนอนมาแล้วแต่แรก เขายิงโกไลแอธด้วยลูกหินและใช้ดาบตัดหัวโกไลแอธ
เรื่องราวของ “ไก่รองบ่อน” ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป เราจะมาลงรายละเอียดในบทความนี้กันต่อไปนะคะ
อ่านจบ คุณจะรู้ว่า
- คนพิการได้เปรียบกว่าคนปกติครบ 32 ได้อย่างไร?
- ทำไมโรงเรียนชื่อดังถึงสอนนักเรียนได้ห่วยนัก?
- ทำไมชาวนาเวียดนามถึงเอาชนะกองทัพทหารอเมริกาได้สำเร็จ?
เป็นไก่รองบ่อน อย่ามัวแต่ไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
พอโตขึ้น เราก็ได้เข้าโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น จากประถมเป็นมัธยมและไล่ไปเรื่อยๆ แต่ละชั้นปีเราก็จะได้เจอเพื่อนใหม่ที่เก่งในเรื่องที่เราไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ทีนี้เราก็รู้สึกอยากแข่งด้วย อยากเหนือกว่าใช่มั้ยล่ะคะ แต่นี่เป็นเรื่องที่ผิด เพราะเป็นไปได้มากว่าการเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เก่งกว่าจะทำให้เราสูญเสียความมั่นใจอย่างสาหัส
แล้วพอความมั่นใจหดแล้วเป็นไงคะ? ก็เหลวไงล่ะ ☹
ยกตัวอย่าง คนที่มีพรสวรรค์เข้าไปเรียนในมหาลัยชั้นนำ ไปเจอเข้ากับอัจฉริยะจนเครียดต้องดรอปเรียน เพราะสู้ไม่ไหว
แล้วถ้าการแข่งกับอัจฉริยะทำให้เรารู้สึกสูญเสียความมั่นใจ เราจะทำอะไรได้ล่ะคะ?
ก่อนอื่นต้องหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นก่อนค่ะ แล้วมาตั้งสมาธิกับตัวเอง ในอดีต คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ นั้นไม่ได้ตั้งหน้าแข่งกับใครหรอกค่ะ แต่พวกเขาเลือกเดินทางของตัวเองต่างหาก
ในช่วงศตวรรษที่ 19 มีนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะชั้นสูงในยุโรปที่ชื่อว่า Paris Salon มีคนเข้าชมนิทรรศการนี้มากมาย ผลงานศิลปะที่ได้จัดแสดงในงานจะถูกตีมูลค่าสูงขึ้นหลาย 10 เท่า ดังนั้นศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชันนิสม์หลายคนจึงพยายามผลักดันให้ผลงานของตัวเองขึ้นแสดงที่ Salon แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะคนชั้นสูงที่นั่นไม่ชอบสีสันสดใสของศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์
สุดท้าย ศิลปินกลุ่มนี้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะเอาใจเหล่าคนชั้นสูง และจัดนิทรรศการของตัวเองแทน แถมประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีซะด้วย
ถ้าศิลปินกลุ่มนั้นยอมเปลี่ยนแนวไปวาดตามคนอื่นๆ ใน Salon พวกเขาก็คงเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์แห่งศิลปะไม่ได้หรอกค่ะ
คนที่เกิดในสภาพแวดล้อมที่ดี อาจจะเสียเปรียบคนอื่นก็ได้
เราต่างก็คิดกันไปเองว่า ถ้าพ่อแม่รวย ลูกๆ ก็คงโตมาฉลาดและแฮปปี้ แต่หารู้ไม่ว่า เด็กที่มีพ่อแม่รวยก็ไม่ได้ขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดเสมอไปหรอกค่ะ ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ
ความร่ำรวยของเหล่าคุณพ่อคุณแม่จะทำให้ลูกๆ ชินชากับการพึ่งพาบารมี ไม่รู้จักตรากตรำทำงานหนัก และไม่รู้จักคิดด้วยตัวเอง ความมั่งคั่งของพ่อแม่ทำให้ลูกไม่รู้จักเรียนรู้
แน่นอนว่า ครอบครัวที่ร่ำรวยย่อมส่งลูกๆ ไปเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ ซึ่งแต่ละห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ 20 คน แต่ครอบครัวทั่วไปต้องส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนหรือรัฐบาลทั่วไปที่มีนักเรียน 40-50 คนต่อ 1 ห้อง
ได้เรียนในกลุ่มเล็กๆ ถ้าห้องนึงมีเด็ก 40 คน คุณครูที่งานล้นมืออยู่แล้วก็คงสอนได้ไม่ทั่วถึงทุกคน แต่ถ้าห้องเล็กลง เด็กน้อยลง คุณครูก็จะตรวจนักเรียนแต่ละคนได้ละเอียดมากขึ้น ทำให้เกรดของเด็กๆ ดีตามไปด้วย
แต่นั่นกลับไม่การันตีความสำเร็จ เพราะพอจำนวนนักเรียนลดลงถึง 12 หรือน้อยกว่า นักเรียนก็จะมีเพื่อนน้อยลงไปด้วย ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้จากคนอื่นๆ น้อยลง มีปฏิสัมพันธ์น้อยลง สภาพสังคมไม่หลากหลาย ทักษะชีวิตก็จะไม่ค่อยพัฒนา
ถ้าคุณโตขึ้นมาในครอบครัวฐานะยากจน คุณจะเข้าใจคุณค่าของเงินมากกว่าคนอื่น คุณจะต้องช่วยงานที่บ้านเพื่อแลกกับค่าแรง แล้วถ้าเงินเก็บเหลือเยอะๆ ก็อาจจะเอามาใช้จ่ายช่วยที่บ้านด้วย นอกจากนี้ คุณจะได้รับทักษะจากการทำงานหนัก ถ้าคุณคิดก่อตั้งบริษัทของตัวเองในภายหลัง ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร แต่ถ้าคุณประสบความสำเร็จจริงๆ ลูกๆ ก็อาจจะไม่ได้เรียนรู้คุณค่าของเงินอย่างคุณก็ได้
ความบกพร่องทางร่างกายอาจจะเเสมอไป
คุณผู้อ่านลองตอบโจทย์คณิตศาสตร์นี้ดูนะคะ
ถ้าไม้เบสบอลกับลูกเบสบอลราคารวมกันเป็น 1.10 ดอลลาร์แล้ว ไม้เบสบอลเดี่ยวๆ แพงกว่าลูกบอล 1 ดอลลาร์ ถามว่าลูกเบสบอลมีราคาเท่าไหร่คะ?
ใครตอบ 10 เซนต์ แอดขอบอกว่าผิดค่า แอ่ด แอ่ด คำตอบที่ถูกต้องคือ 5 เซนต์ต่างหาก เหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคนตอบผิด เพราะเราอ่านเร็วเกินไป ทำให้พลาดจุดสำคัญนั่นเองค่ะ
หัวใจคือคำว่า แพงกว่า นั่นเอง ไม้เบสบอลแพงกว่าลูกบอล 1 ดอลลาร์
ถ้าคุณยังไม่เก็ท ก็เขียนสมการคณิตศาสตร์ที่เคยเรียนตอนม.ต้น กันหน่อยเนาะ (แอดก็นั่งงจ้องอยู่นานเหมือนกัน 555) ให้ x แทนราคาลูกเบสบอล
ราคาลูกเบสบอล + ราคาไม้เบสบอล = $1.10
x + ($1.00 + x) = $1.10
$1.00 + 2x = $1.10
2x = $0.10
x = $0.05
สรุปคำตอบได้ว่า ราคาลูกเบสบอลคือ 0.05 ดอลลาร์
ถ้าคุณอ่านโจทย์ช้าลง คุณก็จะพลาดน้อยลงเองล่ะค่ะ
มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในอเมริกาได้ในข้อสอบสไตล์นี้ไปให้นักศึกษาทำ ผลคะแนนเฉลี่ยคือ 1.9 เต็ม 3 แต่ถ้าปรับตัวอักษรในข้อสอบให้อ่านยากขึ้น แล้วนำไปให้นักศึกษากลุ่มเดิมทำ พวกเขาก็จะถูกบังคับให้ค่อยๆ ผลคะแนนเฉลี่ยพุ่งขึ้นเป็น 2.45 เต็ม 3 เพราะนักศึกษาจะถูกบังคับให้อ่านโจทย์โดยอัตโนมัติ
คนที่มีปัญหาทางการอ่านอย่างผู้ที่เป็นโรค Dyslexia จะมีโอกาสตอบโจทย์แนวนี้ได้ดีกว่าคนทั่วไป เพราะพวกเขาต้องค่อยๆ อ่าน นอกจากนี้ ความบกพร่องที่ว่ายังช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะอื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
เดวิด โบอี้ส์ เป็นทนายที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนนึงในอเมริกา เขามีความบกพร่องทางการอ่าน (Dyslexia) ทุกครั้งที่ต้องอ่านหนังสือ เขาต้องใข้ความพยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เขาจึงต้องเรียนรู้ด้วยการฟังและการจำ
แม้เขาจะอ่านเพียงสรุปสำนวนคดี แต่ด้วยความจำที่แม่นยำของเขา และความสามารถในการจับผิดท่าทางของพยาน ก็ช่วยให้เขาสู้คดีได้ง่ายขึ้น
ความบกพร่องของเดวิดทำให้เขาต้องโฟกัสและพัฒนาความสามารถอื่นมากขึ้น หูของเดวิดจึงฟังสิ่งรอบตัวได้ละเอียดกว่า สมองของเดวิดก็ประมวลผลได้แม่นยำกว่าคนอื่น
ความโชคร้ายคือพรต่างหาก
บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ประธานาธิบดีอเมริกา หรือนักเขียนชื่อดัง ล้วนเคยผ่านประสบการณ์สูญเสียคุณพ่อหรือคุณแม่มาแล้ว จริงๆ แล้ว งานวิจัยยังบอกด้วยว่า บุคคลที่ประสบความสำเร็จมีอัตราการสูญเสียบุพการีคนใดคนหนึ่งไปก่อนอายุ 20 ปี ถึง 45%
คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะคิดว่า “ชีวิตช่างรันทดนัก” แต่จริงๆ แล้ว ความรันทดนั่นล่ะค่ะ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้พวกเขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน
เพราะการขาดพ่อหรือแม่คอยเลี้ยงดูนั้นส่งผลต่อจิตใจมาก ทำให้ยิ่งต้องฮึดสู้กว่าคนที่มีพ่อแม่คอยประคบประหงม นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงได้เห็นสิ่งประดิษฐ์เจ๋งๆ และความสำเร็จที่น่าตื่นตาจากคนที่ไม่ได้มีภูมิหลังสวยหรู
เอมิล ฟรายไรค์ นักวิทยาศาสตร์สายการแพทย์ ถูกทิ้งให้อยู่กับบ้านโกโรโกโสตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากพ่อของเขาฆ่าตัวตาย เหลือไว้เพียงความหดหู่ เอมิลตะเกียกตะกายหนีจากชีวิตแร้นแค้นนี้ เขาตั้งหน้าเรียนอย่างหนัก และได้เป็นหมอในที่สุด แรงมุ่งมั่นผลักดันให้เอมิลประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วย เอมิลใช้เวลาหลายปีพัฒนาวิธีการรักษาโรคลูคีเมียในเด็กให้มีโอกาสรอดถึง 90%
ความยากลำบากของเอมิลในวัยเด็ก ปลูกฝังให้เขากลายเป็นคนไม่ยอมแพ้
กลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาของไก่รองบ่อน
คุณผู้อ่านที่ชอบดูหนังหรืออ่านหนังสือนิยายคงเคยเจอหลายเรื่องที่ตอนจบเป็นเหล่าไก่รองบ่อนที่ชนะ แต่ในชีวิตจริงกลับแทบไม่มี ในการประลอง คู่แข่งที่มีแบคอัพหนุนดีกว่า มีเงินหนากว่า ย่อมเอาชนะคู่แข่งที่ไม่มีสิ่งพวกนี้ได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตาม แม้ไก่รองบ่อนจะเอาชนะในศึกประลองไม่ได้ แต่ถ้าคิดกลยุทธ์ที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึงได้ โอกาสชนะก็มีสูง
ตัวอย่างที่ดีตัวนึงคือ ช่วงสงครามในอดีต กองทัพเล็กเอาชนะกองทัพใหญ่ๆ ได้นับครั้งไม่ถ้วน (นึกถึงสงครามเวียดนามขึ้นมาเลย) ด้วยการหลีกเลี่ยงการปะทะซึ่งหน้า และหันไปตัดเสบียง รบแบบกองโจรแทน
งานวิจัยพบว่า กองทัพเล็กเอาชนะกองทัพที่ใหญ่กว่าได้ถึง 63% ด้วยกลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เอง และมีเพียง 29% ที่ชนะ หากใช้การโจมตีโดยตรง
มีใครสงสัยมั้ยคะว่า แล้วไก่รองบ่อนตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์อะไรตอนไหนล่ะ?
พวกเขาทำได้โดยเน้นที่จุดเด่นของกองทัพตัวเอง และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อีกฝ่ายจะได้เปรียบให้มากที่สุด
ในปี 1917 ที. อี. ลอว์เรนซ์ เป็นผู้นำกลุ่มอาหรับเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง หลายคนในกลุ่มไม่เคยฝึกฝนการต่อสู้มาก่อน แต่พวกเขากำลังจะไปสู้กับกองทัพเติร์กที่มีอาวุธครบมือ ในขณะที่ฝั่งอาหรับไม่เคยแม้แต่จะจับปืนไรเฟิล แต่พวกเขาชำนาญพื้นที่และรู้วิธีหาน้ำกลางทะเลทราย
พวกเขากำลังใช้จุดแข็งของตัวเองให้เป็นประโยชน์ เลือกที่จะไม่โจมตีทางน้ำแบบแล่นเรือเข้าไปหาฝั่งเติร์กตรงๆ แต่ใช้ความสามารถที่ตัวเองถนัด จัดทัพอ้อมไปทางทะเลทรายไซบีเรีย ฝ่ายเติร์กไม่ทันตั้งตัว ทางอาหรับเลยขับไล่พวกเติร์กออกไปจากเมืองได้สำเร็จ
อยากใหญ่ ใจต้องนิ่ง
ลองคิดดูเล่นๆ นะคะว่า ถ้าทุกคนเชื่อทุกสิ่งที่ได้ยินมา ยอมก้มหัวให้รัฐทุกครั้ง หรือเฮไปกับเพื่อนทุกครา แบบนี้คงน่าเบื่อแย่ใช่มั้ยล่ะคะ เพราะทุกคนเดินไปทางเดียวกันหมด ไม่มีใครคิดต่างหรือกล้าค้านอะไร
เราติดค้างผู้คนที่กล้าลุกขึ้นปฏิวัติ คนที่ไม่พอใจกับบรรทัดฐานของสังคม คนที่กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้พวกเราได้ใช้เกิน และคนที่เพิกเฉยต่อเสียงนกเสียงกา
นักจิตวิทยากลุ่มหนึ่งทำงานวิจัยทดสอบบุคลิกภาพที่ชื่อว่า Five Factors Model พวกเขาพบว่า พวกนักลงทุนมักจะมีนิสัยชอบโต้เถียง นี่เป็นข้อยืนยันอย่างหนึ่งว่า เหล่าผู้นำขึ้นไปถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่ได้ก็เพราะกล้าเสี่ยง และไม่ยอมทิ้งความเชื่อมั่นของตัวเอง ไม่สนว่าอาจจะต้องเสียเพื่อนหรืองานของตัวเอง พวกเขาเสี่ยงเพื่อความสำเร็จที่รออยู่ตรงหน้า
เห็นแบบนี้ ถ้าคุณผู้อ่านคนไหนที่อยากประสบความสำเร็จบ้าง ก็อย่าลืมเตรียมใจเรื่องท่าทีที่อาจเปลี่ยนไปของคนรอบข้างด้วยนะคะ ต้องท่องไว้ว่าไอเดียของตัวเองสำคัญที่สุด
มาดูอีกตัวอย่างกันนะคะ คราวนี้เป็นเรื่องราวของผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ชื่อดัง IKEA เขาคนนั้นคือ อิงค์วาร์ คัมพราด ในช่วงปี 1960 อิงค์วาร์เจอกับมรสุมความกดดันของเหล่าผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดน เรื่องที่ว่าเขากำหนดราคาสินค้าต่ำเกิน ต่อมาก็เจอบอยคอตจนบริษัทต้องประสบปัญหาการเงิน แต่อิงค์วาร์กลับหาทางออกที่ไม่มีใครคาดคิด เขาหันไปทำธุรกิจกับประเทศคอมมิวนิสต์ ในสมัยนั้น โปแลนด์ ในขณะที่สงครามเย็นและวิกฤติการณ์จรวดคิวบายังระอุ เขาอาจถูกมองว่าเป็นกบฏ แต่อิงค์วาร์ไม่สน และกลยุทธ์นี้ได้ผล IKEA จึงผ่านพ้นวิกฤติมาได้ และประสบความสำเร็จอย่างมากจนถึงทุกวันนี้
สรุปส่งท้ายก่อนวางหนังสือ David & Goliath
อำนาจ ความมั่งคั่ง และความแข็งแกร่ง ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จได้เสมอไป เหมือนทุกสิ่งนั่นล่ะค่ะ ถ้ามากเกินมันก็ไม่ดี เรื่องรวยเกินก็ก็มีข้อด้อยเหมือนกัน ในขณะที่บางสิ่งที่ดูแต่จะทำความลำบากให้ ไม่ว่าจะเป็นความบกพร่องทางการอ่าน หรือการสูญเสียบุพการี ก็อาจกระตุ้นให้ไปถึงเป้าหมายได้ดียิ่งกว่า
ไก่รองบ่อนก็เอาชนะคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังได้ ถ้าหากรู้จักวางกลยุทธ์
นำไปใช้ได้จริง
จงเลือกทางเดินของตัวเอง ทำไมเราต้องคอยมองหาการยอมรับจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลาด้วยล่ะ? พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ก็อยากให้เราได้ดีกันทั้งนั้น แต่ถ้าเราคอยตามพวกเขาแบบไม่คิดอะไร ก็รังแต่จะเดินไปเจอกับความผิดหวังและท้อแท้เปล่าๆ
ถ้าลองถอยกลับมาหน่อย แล้วเลือกที่จะเดินไปด้วยตัวเอง เราก็จะรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไรกันแน่
อย่าสนใจสายตาคนอื่นถ้าคิดจะลองทำสิ่งใหม่ จงลงมือทำเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ใครๆ ก็มีจุดอ่อนและความทรงจำแย่ๆ ที่ไม่อยากนึกถึงทั้งนั้นล่ะค่ะ แต่แทนที่จะมัวพะวงกับมัน ลองหันมาหาทางแก้ไขมันกันดีกว่า
จงเป็นตัวเอกในละครของตัวเอง เขียนบทให้ตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำเลยค่ะ หรืออยากไปอยู่ที่ไหนก็เลือกเอาเลย
ข้อมูลผู้เขียน
แหล่งศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
- ทวิตเตอร์ของผู้เขียน @Gladwell
- ข้อมูลโรค Acromegaly ที่คาดว่าโกไลแอธน่าจะเป็น คลิกที่นี่
- Malcolm Gladwell เล่าเรื่อง David and Goliath มีซับไทยด้วย Ted Talk
บทความน่าสนใจที่เกี่ยวข้อง
นอกจากหนังสือ David and Goliath เล่มนี้แล้ว Gladwell ก็ยังเขียนหนังสืออีกหลายเล่มได้แก่ Outliers, The Tipping Point และ Blink ซึ่งบิงโกได้ทำสรุปไว้แล้ว ตามไปอ่านกันได้ที่ลิงก์ด้านล่างค่ะ
- Outliers ตีแผ่ทุกแง่มุมของ “ความสำเร็จ” ที่คุณไม่เคยรู้ที่ไหนมาก่อน
- The Tipping Point คู่มือนักการตลาดแห่งศตวรรษที่ 21 — เปลี่ยนสินค้าให้เป็นไวรัส จุดกระแสดังไปทั่วโลก
- Blink การคิดให้รอบคอบอาจไม่ใช่วิธีตัดสินใจที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะสมองคนเรามี “จิตไร้สำนึก” ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ไวกว่าและให้ผลแม่นยำกว่าอยู่
Pingback: สรุปหนังสือ The Tipping Point เปลี่ยนสินค้าให้เป็นไวรัส จุดกระแสให้ดังไปทั่วโลก
Pingback: สรุปหนังสือ Shoe Dog: ไนกี้ จากรองเท้าห้องแถวสู่ธุรกิจ 3 ล้านล้าน
Pingback: สรุปหนังสือ Sam Walton: กำเนิด Walmart เครือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: สรุปหนังสือ Everything Store: Amazon ร้านขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: สรุปหนังสือ Outliers ตีแผ่ทุกแง่มุมของ "ความสำเร็จ" ที่คุณไม่เคยรู้ที่ไหนมาก่อน - สำนักพิมพ์บ
Pingback: สรุปหนังสือ Blink มองให้ทะลุ ภายใน 2 วิฯ - สำนักพิมพ์บิงโก