พิถีพิถันในทุกรายละเอียด แล้วลูกค้าจะหลงใหลในสิ่งที่คุณทำ
คุณคิดอย่างไรถ้าพูดถึงชายชื่อ สตีฟ จอบส์?
หลายคนมองว่าเขาเปรียบเหมือนฮีโร่
หลายคนยกให้เขาเป็นบุคคลต้นแบบในการทำงาน
ส่วนบางคนก็คิดว่า จอบส์เป็นคนที่ทำทุกอย่างที่ต้องการโดยไม่สนใจวิธีการ
แต่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนต้องยอมรับเกี่ยวกับชายคนนี้คือ จอบส์เป็นคนที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้จริงๆ นับจากวันที่เขาสร้างบริษัทแอปเปิล (Apple) ขึ้นมา
จอบส์มีไอเดียในการสร้างแอปเปิลมาตั้งแต่ตอนที่เขาเรียนชั้นมัธยม จอบส์ได้พบกับสตีฟ วอซเนียคซึ่งอายุมากกว่าเขา 5 ปี และทั้งสองได้กลายมาเป็นเพื่อนรักกันทันที
ในปี 1971 ทั้งคู่ได้สร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ชื่อ Blue Box มันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้ฟรี พวกเขาขายเจ้าเครื่องนี้ไปเกือบ 100 เครื่อง มาถึงตอนนี้ทั้งคู่เริ่มรู้แล้วว่า จะใช้ความสามารถของพวกเขาอย่างไรให้เป็นประโยชน์ พวกเขาจึงก่อตั้งบริษัทแอปเปิลขึ้น
เรื่องราวของจอบส์ที่ผมเล่ามานี้ คุณสามารถหาอ่านได้ทั่วไป แต่ผมขอนำเรื่องราวในมุมมองอื่นๆ จากหนังสือชื่อ “Steve Jobs” ซึ่งเขียนโดยวอลเตอร์ อิแซคสัน นักข่าวและนักเขียนซึ่งมีผลงานอัตชีวประวัติของบุคคลดังๆ มาแล้วมากมายมาเล่าให้คุณได้ฟัง
โฟกัสแค่สิ่งสำคัญ
จอบส์เคยออกจากแอปเปิลไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเขาได้กลับมาทำงานที่นี่อีกครั้ง เขาก็พบว่าบริษัทนี้กำลังหลงทาง
ในตอนนั้นแอปเปิลมีผลิตภัณฑ์มากถึง 350 ชิ้น แต่จอบส์มองว่าผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนั้นดูเหมือนกับบริษัทอื่นๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเลย จอบส์จึงตัดสินใจตัดผลิตภัณฑ์ทิ้งไป 340 ชิ้น เหลือเพียง 10 ชิ้นเท่านั้นที่ควรจะให้ความสนใจอย่างจริงจัง
จอบส์บอกว่า การโฟกัสคือการปฏิเสธไอเดียดีๆ หลายร้อยไอเดีย แล้วเลือกไอเดียที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น เมื่อเราตัดไอเดียดีๆ ทิ้ง เราจะได้ไอเดียที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ความคิดเช่นนี้ของจอบส์ถูกสะท้อนให้เห็นตอนที่แอปเปิลกำลังจะทำไอโฟน (iPhone) เครื่องแรกให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนออกวางจำหน่าย แจ่จอบส์เพิ่งได้ไอเดียว่า สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือ หน้าจอ ส่วนประกอบอื่นๆ เป็นเรื่องรอง จอบส์จึงบอกกับทีมงานของเขาให้เริ่มออกแบบไอโฟนกันใหม่
จากไอเดียในครั้งนั้นของจอบส์ ทำให้แอปเปิลได้สร้างไอโฟนที่ผู้คนนับล้านคนทั่วโลกใช้กันในปัจจุบัน
ค้นหาแรงบันดาลใจแบบสตีฟ จอบส์
ทุกคนต่างสงสัยว่าแอปเปิลหาแรงบันดาลใจเพื่อผลิตสินค้าที่สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกเราในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?
คำตอบก็คือ จอบส์และทีมงานเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนต้องการ ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวว่าตนเองต้องการอะไรจริงๆ เสียอีก
จอบส์เคยบอกว่า “เราดูสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดซึ่งมนุษย์ได้เคยทำ แล้วเอาสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้กับสิ่งที่เราทำ”
จิตรกรชื่อดังอย่าง ปิกัสโซ่เคยบอกว่า “ศิลปินที่ดีมักลอกเลียนแบบ แต่ศิลปินที่ยิ่งใหญ่มักขโมย”
จอบส์เองก็ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบคอมพิวเตอร์เครื่องแรกอย่าง Macbook จากการไปดูเครื่องใช้ในครัวของแบรนด์ Cuisinart ในห้างสรรพสินค้า Macy’s เช่นกัน
บริษัทส่วนใหญ่มักหาไอเดียจากการดูคู่แข่ง ทำให้พวกเขามักทำผลิตภัณฑ์ที่เหมือนๆ กันเต็มไปหมด แต่จอบส์กลับได้ไอเดียมาจากสินค้าประเภทอื่นซึ่งต่างจากสินค้าของเขาโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ทำให้แอปเปิลของเขาชนะบริษัทคู่แข่งอื่นๆ ได้
สินค้าทุกชิ้นต้องเรียบง่าย
จอบส์ต้องการให้สินค้าทุกชิ้นของบริษัทใช้งานง่ายที่สุด ดังนั้นการออกแบบทั้งหมดจะต้องสมบูรณ์แบบ ซึ่งนิสัยส่วนนี้ของจอบส์ได้มาจากพ่อของเขานั่นเอง
ในสายตาของจอบส์ พ่อของเขาเป็นคนที่สามารถเสกอะไรขึ้นมาก็ได้แถมยังออกแบบเก่งมากด้วย ถ้าพ่อของเขาอยากได้ตู่ เขาก็จะลงมือทำมันโดยให้จอบส์คอยช่วยทำด้วย
ครั้งหนึ่งจอบส์เคยพาอิแซคสันผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ไปที่บ้านของเขา แล้วบอกกับอิแซคสันว่า รั้วที่เห็นนี่เป็นรั้วที่พ่อของเขาทำ มันมีอายุมากกว่า 50 ปีแล้วแต่ยังไม่ผุพังแม้แต่น้อย พ่อสอนจอบส์เสมอว่า เวลาจะทำรั้วหรือตู้ให้ใส่ใจกับด้านหลังด้วย ถึงมันจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นก็ตาม
ตั้งแต่นั้นมา จอบส์เลยชอบผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ เขาบอกให้หัวหน้าทีมออกแบบของแอปเปิลในตอนนั้นให้รายงานการทำงานกับเขาโดยตรง แม้บริษัทอื่นๆ มักจะให้วิศวกรไปบอกทีมออกแบบว่าอยากได้สินค้าแบบไหนก่อนจะออกแบบ แต่ที่แอปเปิลกลับตรงกันข้าม เพราะจอบส์จะให้ทีมออกแบบเป็นคนบอกกับทีมวิศวกรว่าต้องการคุณสมบัติของสินค้าแบบไหนที่เข้ากับการออกแบบของพวกเขา
ระบบการใช้งานก็สำคัญไม่แพ้ตัวสินค้า
จอบส์รู้ว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จ แอปเปิลต้องมีระบบที่เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ทุกอย่างเข้าด้วยกันแทนที่จะปล่อยให้ผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างอยู่แยกกัน
ในปี 2001 เขาบอกว่า คอมพิวเตอร์จะเชื่อมโยงอุปกรณ์ทุกอย่างในชีวิตของเรา มันสามารถใช้ฟังเพลง ถ่ายรูป ทำคลิปได้
การเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้คอมพิวเตอร์ของแอปเปิลใช้งานง่าย เขาจึงสร้างโปรแกรมไอมูฟวี่ (iMovie) ขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถตัดต่อวิดีโอคลิปกันได้ง่ายๆ
ไอทูนส์ (iTunes) และ ไอพอด (iPod) เองก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการเพลงไปอย่างสิ้นเชิง ผู้คนซื้อไอพอดกันเยอะมากเพราะมันใช้งานง่าย ทำให้ในปี 2007 ยอดขายไอพอดคิดเป็นรายได้ครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดของบริษัทเลยทีเดียว
ต่อมาในปี 2007 แอปเปิลได้วางจำหน่ายไอโฟนรุ่นแรก ซึ่งมีความพิเศษแตกต่างจากโทรศัพท์ที่ทุกแบรนด์เคยทำมาคือ มีหน้าจอแบบทัชสกรีน ทำให้ใช้งานได้หลายอย่างพร้อมกันและง่ายต่อผู้ใช้งานด้วย แถมยังมีกระจกมือถือที่แข็งแรงสามารถป้องกันรอยได้
ความพิเศษที่ไอโฟนมี ทำให้ในปี 2010 ยอดขายของมันมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายโทรศัพท์มือถือทั่วโลก
จากนั้นแอปเปิลได้ปล่อยไอแพด (iPad) ออกมาในปี 2010 และเพียงเดือนแรกที่วางขาย แอปเปิลสามารถขายไอแพดได้มากถึง 1 ล้านเครื่อง
ผลสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่า การสร้างระบบของจอบส์เป็นเรื่องสำคัญ คุณต้องคิดสร้างระบบด้วยไม่ใช่คิดสร้างสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว
ไม่สนใจความเป็นจริง
จอบส์สามารถเปลี่ยนความจริงได้ ถ้าเขาคิดว่าควรมีสิ่งไหนเกิดขึ้น เขาก็จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นโดยบิดความจริงให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาทำให้ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ แต่บางทีนี่ก็เป็นข้อเสียของเขาเหมือนกัน เพราะเขาจะคาดหวังให้ทีมงานต้องทำสิ่งต่างๆ ที่เกินความสามารถ
แต่คนที่ทำงานกับจอบส์มักจะบอกว่า วิธีการที่เขาใช้นั้นได้ผล ก่อนที่จะก่อตั้งแอปเปิล จอบส์เคยเอางานให้วอซเนียคทำโดยบอกเขาว่ามีเวลาให้ไม่กี่วัน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วงานนั้นต้องใช้เวลาทำเป็นเดือนๆ แต่วอซเนียคสามารถทำมันเสร็จภายใน 4 วันแถมงานยังออกมาดีเกินคาดอีกด้วย
จอบส์ทำแบบนี้หลายครั้ง เขาผลักดันให้คนก้าวไปถึงระดับที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะทำได้ แล้วสุดท้ายคนคนนั้นก็จะทำผลงานได้ดีเยี่ยม
การไม่สนใจความเป็นจริงนั้นเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเราทำเพราะต้องการผลักดันคนอื่นให้ก้าวเหนือขีดจำกัด แต่การใช้วิธีคิดนี้กับเรื่องอื่นก็มีข้อเสีย เหมือนอย่างตอนที่จอบส์ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เขาไม่สนใจมันและเชื่อว่าเขาสามารถหายได้ถ้าได้ฝังเข็มและกินผลไม้ สุดท้ายแล้วอาการของเขาก็แย่ลงเรื่อยๆ
ควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าให้ได้
คุณเชื่อหรือไม่ว่า จอบส์สามารถควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าได้
สินค้าทุกชิ้นของแอปเปิลเลือกใช้สกรูแบบพิเศษ ทำให้คนทั่วไปไม่สามารถถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์ออกมาดูได้ ซึ่งเป็นวิธีที่แตกต่างจากบริษัทอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง แต่วิธีนี้เองที่ทำให้จอบส์สามารถสร้างแอปเปิล สโตร์ (Apple Store) ขึ้นมาจนเป็นร้านค้าที่ทำรายได้มากกว่าร้านค้าปลีกเจ้าอื่นๆ เพราะที่แอปเปิล สโตร์ได้ถูกออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ของแอปเปิลให้กับลูกค้านั่นเอง
ถ้าคุณทำธุรกิจอยู่เหมือนกัน คุณสามารถนำแนวคิดนี้ของจอบส์มาปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ เริ่มจากการหาคำตอบว่า คุณสามารถควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าได้มากแค่ไหน? แล้วคุณควรจะควบคุมพวกเขาเท่าไหร่?
ทิ้งท้าย
สำหรับใครที่ชอบแนวคิดจากคนดัง เราขอแนะนำอีกบทความของบิงโก คือ สรุปหนังสือ Think & Grow Rich “กฎแห่งความสำเร็จ ที่ถูกเก็บงำมากว่า 80 ปี” ของนโปเลียน ฮิลล์ เขาใช้เวลา 30 ปีสัมภาษณ์คนที่ประสบความสำเร็จกว่า 500 คน เพื่อศึกษาว่า อะไรที่ทำให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จ รับรองว่าคุณจะได้ความรู้ไม่แพ้หนังสือ Steve Jobs เล่มนี้เลย
บทความน่าสนใจที่เกี่ยวข้อง
- สตีฟ จอบส์ ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกยุคสมัยใหม่ให้กับวงการเทคโนโลยี (และอาจจะธุรกิจด้วย) และเหตุผลหนึ่งก็เพราะเขามีความสามารถในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวและติดตลาด ซึ่งเป็นความสามารถที่กำลังต้องการมากในขณะนี้ หนังสือ A Whole New Mind จะมาบอกคุณว่าทักษะไหนอีกที่จำเป็นในขณะนี้และวันข้างหน้า
แหล่งอ้างอิง
Pingback: สรุปหนังสือ Toyota Kata "วิถีโตโยต้า": หลักคิดการทำธุรกิจที่ไม่มีวันแพ้
Pingback: สรุปหนังสือ Everything Store: Amazon ร้านขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: สรุปหนังสือ Sam Walton: กำเนิด Walmart เครือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: กฎ 10 ข้อของ Sam Walton เจ้าของวอลมาร์ท ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Pingback: สรุปหนังสือ A Whole New Mind: ทักษะด้านไหน "ชนะ" ในโลกอนาคต
Pingback: คิดยังไง ให้ได้อย่าง Elon Musk - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: 9 โมเดลธุรกิจที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ The Presentation Secrets of Steve Jobs นำเสนออย่างไรถึงเก่งขั้นเทพแบบสตีฟ จ็อบส์
Pingback: สรุปหนังสือ Tribes เป็นหัวหน้าเผ่าในโลกสมัยใหม่ - สำนักพิมพ์บิงโก
Pingback: สรุปหนังสือ Start With Why ชีวิตคุณเปลี่ยนได้ ด้วยคำถามเพียงข้อเดียว
Pingback: โลกหลัง Covid ที่ไม่มีอเมริกา... แล้วไทยอยู่ไหน - สำนักพิมพ์บิงโก