หนังสือ The Magic Of Thinking Big เขียนโดย David J. Schwartz เป็นหนังสือพัฒนาตัวเองฉบับคลาสสิกขายดีระดับโลก ขายไปแล้วมากกว่า 6 ล้านเล่มทั่วโลก ภายในเล่มเต็มไปด้วยเทคนิคการคิดที่จะผลักดันให้คุณประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาด นอกจากนี้ยังสอดแทรกแนวทางฝึกฝนไว้มากมาย ถ้านำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง คุณจะตกใจกับผลลัพธ์แน่นอน บิงโกรับประกัน 🙂
ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้
ทุกคนล้วนมีเป้าหมายชีวิตของตัวเอง แต่การเริ่มก้าวแรกเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อหนทางข้างหน้ามีแต่ความมืดทั้งแปดด้าน คุณต้องเริ่มจากเชื่อมั่นในตัวเองก่อน ฝึกสมองและจิตใจให้คิดว่า “ชั้นทำอะไรก็ได้ถ้าตั้งใจจริง”
คุณต้องเชื่อว่า สักวันตัวเองจะบรรลุเป้าได้ แล้วจิตใต้สำนึกของคุณจะปลดปล่อยพลังงานและผลักดันให้คุณพิชิตภารกิจ ยิ่งคุณเชื่อมั่นในตัวเองมากเท่าใด คุณก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้น เป้าหมายจะท้าทายแค่ไหน คุณก็จะพิชิตมันได้
การเชื่อในตัวเองยังให้ผลพลอยได้อีกอย่างนั่นคือ คนรอบตัวก็จะเริ่มเชื่อในตัวคุณเหมือนกัน
บริษัท McKinsey ทำการวิจัยโดยไปสัมภาษณ์นักธุรกิจ นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ และผู้นำทางศาสนาหลายพันชีวิตเพื่อหาคำตอบว่า คนประเภทไหนที่อยากร่วมงานด้วย? คุณสมบัติที่ต้องการเห็นในตัวผู้สมัครงานมากที่สุดคืออะไร?
คำตอบที่ได้แทบจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันนั่นคือ “อยากร่วมงานกับคนที่มุ่งมั่นจะก้าวไปข้างหน้า และมีความมั่นใจในตัวเอง” คุณสมบัตินี้เกี่ยวเนื่องกับความสำเร็จ แม้ว่าต้องเจออุปสรรคหนักหนาแค่ไหน คนเหล่านี้จะสร้างแรงจูงใจด้วยตัวเองได้และไม่ยอมแพ้
จงปฏิบัติตามคนที่ประสบความสำเร็จ
คุณอาจคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่า “ความรู้คืออำนาจ” ซึ่งหมายความว่า ยิ่งรู้เยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น แต่คำพูดนี้เป็นจริงแค่ครึ่งเดียว จริงๆ ความรู้จะกลายเป็นอำนาจก็ต่อเมื่อคุณรู้จักใช้มันในทางสร้างสรรค์เท่านั้น
หลายคนเข้าใจคำว่า ความรู้ ผิดไปเยอะ เพราะแยกไม่ออกว่าข้อเท็จจริงกับความคิดสร้างสรรค์ต่างกันอย่างไร
การรู้ข้อเท็จจริงคือการจดจำชิ้นข้อมูลและจัดเก็บไว้ในสมองเพื่อจะได้เรียกใช้ในภายหลัง แต่ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะกลายเป็นกล่องเก่าหลังบ้านในที่สุด ในทางกลับกัน ความคิดสร้างสรรค์จะมุ่งเน้นไปที่การหาแนวทางใหม่ๆ ที่ดีกว่าในการจัดการปัญหาและอุปสรรค
แม้ว่าการรู้ข้อเท็จจริงเยอะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความคิดสร้างสรรค์จะช่วยให้คุณสามารถเอาชนะอุปสรรคได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การท่องจำข้อเท็จจริงทำให้สมองของคุณแข็งทื่อ แต่ความคิดสร้างสรรค์จะทำให้สมองคุณปรับตัวและยืดหยุ่น
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมุ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์มากกว่าจดจำข้อเท็จจริง
คุณสามารถเพิ่มพูนความคิดสร้างสรรค์ด้วยการทำตาม 3 ข้อนี้
- เปิดรับความคิดใหม่ๆ
- คว้าโอกาสในการลองทำสิ่งใหม่ๆ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ใช้เวลา 10 นาทีต่อวัน ถามตัวเองว่า “ฉันจะทำงานได้ดีกว่าวันนี้ได้ยังไง?”
ถ้าคุณเป็นคนชอบเกาะกลุ่มกับคนที่คิดแบบเดียวกัน ผมอยากให้ลองปรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตให้มีความหลากหลายมากขึ้น ออกไปพบปะกลุ่มคนนอกวงการอาชีพเสียบ้าง และอย่ามองข้ามการสนทนากับคนที่ท้าทายความเชื่อคุณ เพื่อให้คุณมีโอกาสเปิดรับความคิดใหม่ๆ และได้ลองทำอะไรใหม่ๆ
หากคุณทำอาชีพเป็นเซลขายรถยนต์ ลองไปเข้าร่วมกิจกรรมบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับสายงานของตัวเอง เช่น ออกแบบกราฟฟิก บางทีคุณอาจนำทักษะใหม่นี้ไปใช้ในการออกแบบโฆษณา ซึ่งเป็นการนำไปสู่ประตูบานใหม่ของชีวิตก็เป็นได้
ลบล้างความคิดเชิงลบทั้งหมด ด้วยความคิดและการแสดงออกเชิงบวก
ในสังคมปัจจุบัน พลังลบสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่ข่าวในทีวีไปจนถึงโฆษณาที่พยายามทำให้รู้สึกอ้วนและยังสวยได้อีก ไม่เพียงแค่สื่อเท่านั้น คนใกล้ชิดก็คอยเหน็บว่า ความฝันของคุณมันเป็นไม่ได้หรอก
เมื่อสิ่งเหล่านี้ถาโถมเข้ามา คุณจะเริ่มเคยชินกับความคิดเชิงลบ ความคิดเชิงลบเป็นเหมือนปีศาจร้าย ยิ่งปล่อยให้เข้าสู่จิตใจมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนเอาชนะความคิดเชิงบวกได้ในที่สุด
คุณต้องกำจัดพลังลบเหล่านี้ออกไป หากคุณยังไม่รู้ว่าจะกำจัดมันอย่างไร ให้เริ่มจากการคิดบวกและแสดงออกในแง่บวกทุกวัน เพื่อปิดพื้นที่ไม่ให้ปีศาจที่ซ่อนอยู่ออกมาอาละวาด
วิธีที่ดีที่สุดที่คุณนำไปปฏิบัติได้ก็คือ เขียนบทพูดสั้นๆ เหมือนบทโฆษณาสำหรับขาย “ตัวเอง” ให้กับ “ตัวเอง” เพื่อเตือนตัวเองให้คิดถึงจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่น
พูดประโยคนี้ออกมาดังๆ อย่างน้อยวันละครั้ง อ่านทวนมันบ่อยๆ แล้วคุณจะเชื่อมั่นในตัวเองจนพลังลบจากโลกภายนอกไม่กล้าย่างกรายเข้ามา
ถ้าคุณเป็นครู และรู้ว่าตัวเองสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้นักเรียนได้ ให้ย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ชั้นแตกต่างจากครูคนอื่นๆ” แล้วคุณจะมองตัวเองเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลของภาควิชา ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจและผลักดันให้คุณทุ่มเทในการสอนทุกวัน
จงปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพ
คุณเคยมีเพื่อนร่วมงานที่ใจร้ายกับคุณโดยไม่มีเหตุผลหรือเปล่าครับ? แล้วคุณตอบสนองต่อเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นยังไงครับ?
คุณอาจจะไม่ทันคิดว่า เพื่อนร่วมงานก็เป็นมนุษย์เหมือนกับคุณนั่นแหละ เป็นไปได้ที่เขาจะแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์กับคุณเพราะชีวิตอันหดหู่ของเขา
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คุณก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นเดียวกับที่คุณอยากได้รับการปฏิบัติ ถ้าคุณปฏิบัติต่อทุกคนที่คุณรู้จักเหมือนกับว่าพวกเขาคือบุคคลสำคัญ ในไม่ช้าคนรอบตัวก็จะเริ่มคิดถึงความรู้สึกของคุณมากขึ้น
อย่าลืมว่า เพื่อนร่วมงานคือคนที่จะอยู่เคียงข้างและมองคุณไต่บันไดสู่ความก้าวหน้าในชีวิต การดึงตัวเองให้ขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นโดยปราศจากความช่วยเหลือเป็นเรื่องยากมาก แรงสนับสนุนจากพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของคุณ คุณจะถูกยกขึ้นเมื่อได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณเท่านั้น
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว อดีตประธานาธิบดีของอเมริกา ลินดอน จอห์นสัน ปฏิบัติตามกฏ 10 ข้อสู่ความสำเร็จอย่างเคร่งครัด เช่น จดจำชื่อของทุกคน ทำตัวให้เป็นคนง่ายๆ ไม่อวดดี ทำตัวให้น่าสนใจ และพูดแสดงความยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น
จงจำไว้ว่า ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
คุณอยู่ในสภาพแวดล้อมของที่มีคุณภาพหรือเปล่า?
คุณอาจคุ้นเคยกับวลีที่ว่า “You are what you eat.” ซึ่งหมายความว่า คุณควรรับประทานอาหารดีๆ ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรง แนวคิดเดียวกันนี้ก็ใช้ได้กับเรื่องอื่นด้วย
“คุณเป็นไปตามที่คิดว่าตัวเองเป็น” สิ่งที่คุณเห็นและได้ยิน ไม่ว่าจากละแวกบ้าน เพื่อนรอบตัว หรือหนังสือที่อ่าน ทั้งหมดนี้เป็น “อาหารทางจิตใจ” ที่ส่งอิทธิพลโดยตรงต่อกระบวนการคิดของคุณ
ถ้าคุณใช้เวลาส่วนใหญ่กับคนที่ชอบซุบซิบเรื่องชาวบ้าน คุณก็มีแนวโน้มที่จะเป็นพวกชอบนินทา ตรงกันข้าม ถ้าคุณอยู่กับคนที่คิดบวกและพูดแต่เรื่องบวก คุณก็จะคิดบวกเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ก็จงทำในสิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จเขาทำกัน แวดล้อมตัวเองด้วยคนที่มีคุณภาพ ลองเช็คดูว่าละแวกบ้าน โรงเรียน มหาลัย ที่ทำงาน ชมรม กลุ่มก๊วนของคุณมีคุณภาพหรือไม่ องค์ประกอบเหล่านี้จะหล่อหลอมให้คุณเติบโตเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ในที่สุดครับ
ปรับทัศนคติของตัวเอง
ถ้าลองสังเกตดีๆ ในขณะที่กำลังพูดคุยกับเพื่อนหรือใครก็ตาม บางครั้งคุณจะรับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังรู้สึกอึดอัดหรือกำลังรู้สึกแย่ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้พูดออกมาก็ตาม นั่นเป็นเพราะทัศนคติและมุมมองต่อชีวิตของแต่ละคนนั้นประจักษ์ชัดต่อผู้อื่นเสมอ
คุณจะตรวจจับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ย้อนไปหลายล้านปีก่อน บรรพบุรุษของเรายังไม่ได้ประดิษฐ์ภาษาออกมาใช้ การสื่อสารแต่ละครั้งต้องอาศัยการทำความเข้าใจภาษากายและการแสดงออกทางสีหน้าของอีกฝ่าย ความสามารถในการทำความเข้าใจนี้แหละที่ช่วยให้บรรพบุรุษของเราอยู่รอดและสืบสายพันธ์ุจนถึงทุกวันนี้ เลยไม่แปลกที่เราทุกคนสามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้
ทัศนคติเป็นกระจกสะท้อนจิตใจ
คนที่มีทัศนคติไม่ดีจะแสดงออกต่างจากคนที่มีทัศนคติที่ดี ดังนั้น ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการพบปะกับคนอื่น คุณก็ต้องมีทัศนคติในแง่บวก
ผมขอแนะนำวิธีสร้างทัศนคติเด็ดๆ ดังนี้
- หมั่นเช็คตัวเองว่ากำลังปฏิบัติตนถูกต้องตามหลักศีลธรรมหรือเปล่า
- ปรับลุคให้ดูดีอยู่เสมอ เมื่อคุณแต่งตัวดี คุณก็จะรู้สึกว่าตัวเองดูแพง คนรอบตัวจะมองว่าคุณเป็นคนสำคัญ
กำจัดความกลัวด้วยการสร้างความเชื่อมั่น
ความกลัวส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นเรื่องของจิตใจ ความวิตก ความเครียด ความประหม่า และความตื่นตกใจ ทุกอย่างนี้เกิดจากความผิดพลาดในการจัดการกับความคิดและจิตใจที่เป็นลบ ความกลัวทุกชนิดเป็นรูปแบบหนึ่งของโรคติดเชื้อของจิตใจ ซึ่งคุณสามารถรักษาได้เช่นเดียวกับโรคทางกาย
ความกลัวที่พบเห็นกันบ่อยที่สุดก็คือ กลัวผู้คน
ความกลัวนี้เกิดขึ้นเพราะคุณหลงลืมไปว่าคนที่คุณกลัวก็เป็นมนุษย์เหมือนกับคุณ ไม่มีพระเจ้าหรือซุปเปอร์แมนจากดาวอื่นมาคอยช่วยเหลือมนุษย์หน้าไหนเป็นพิเศษหรอกครับ ทุกคนมีสองมือสองเท้าเหมือนกัน ถ้าความกลัวนี้ไม่ได้รับการขัดเกลา มันก็จะมีผลต่อความสำเร็จในอนาคตของคุณอย่างมาก
ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับสิ่งน่ากลัวรูปแบบไหนก็ตาม ยาเดียวที่รักษาความกลัวได้ก็คือ ความมั่นใจ
ความมั่นใจคือภูมิคุ้มกันที่ทรงประสิทธิภาพ ยิ่งเชื่อมั่นในตัวเองมากเท่าไหร่ โอกาสที่ความกลัวจะมาแผ้วพาลก็ยิ่งน้อยลง เช่นเดียวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ต้องการอาหารบำรุงอย่างเหมาะสม ความมั่นใจก็เช่นกัน ความมั่นใจต้องอาศัยแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเปล่งความสตรองและประสิทธิภาพมากที่สุด
วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นใจคืออะไร?
จงเริ่มทำตัวมั่นใจแม้ว่าคุณไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ช่วงแรกอาจจะดูยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นเพราะคุณสามารถจัดการอารมณ์ตัวเองได้
ลองนั่งเรียนแถวหน้าในชั้นเรียน สบตาผู้อื่นขณะพูดคุย เดินให้เร็วขึ้นอีก 25% และฝึกพูดแสดงความคิดเห็น การกระทำเหล่านี้ช่วยให้คุณโดดเด่นและเพิ่มโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ ส่งผลให้คุณมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
พวกล้มเหลวชอบหาข้ออ้าง แต่พวกสำเร็จจะลองทำอีกรอบ
โลกนี้มีคนสองประเภท พวกที่ล้มเหลวกับพวกที่ประสบความสำเร็จ คนสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร?
คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่สามารถลุกขึ้นหลังจากโดนอุปสรรคน็อคเข้าไปที่กลางหน้า ในขณะที่พวกล้มเหลวมัวแต่หาข้ออ้าง ข้อแก้ตัว หาเหตุผลต่างๆ นานามาสนับสนุนว่าทำไมตัวเองถึงล้มเหลว
ทุกคนที่ประสบความสำเร็จล้วนเผชิญกับแรงต้าน การดูถูก ความท้อแท้ และวิกฤติการณ์กันทั้งนั้น แต่วิธีที่พวกเขาจัดการกับความท้าทายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผลักให้พวกเขาโดดเด่นขึ้นมา ลองฟังเรื่องราวนี้เป็นตัวอย่างนะครับ
หนุ่มสาวคู่หนึ่งอยากซื้อบ้าน แต่มีเงินไม่พอจ่ายดาวน์ เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยเผชิญ คนส่วนใหญ่ล้มเลิกความคิด หรือหาข้อแก้ตัวไปเรื่อย แต่หนุ่มสาวคู่นี้หาทางออกอย่างสร้างสรรค์ ฝ่ายชายติดต่อเจ้าของที่ดินและกู้เงินธนาคารมาจ่ายดาวน์ ทั้งคู่จึงตัดสินใจลดค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนลง 1,000 บาท และขอเจ้านายทำงานล่วงเวลาเพิ่มในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อรับเงินเพิ่มอีก 4,000 บาท/เดือน เพื่อจะได้มีเงินทยอยชำระหนี้เงินกู้เดือนละ 5,000 บาท สุดท้ายหนุ่มสาวคู่นี้ก็รักษาบ้านไว้ได้และก้าวสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ในเวลาต่อมา
การลงมือทำสำคัญที่สุด
เป้าหมายนั้นตั้งง่าย แต่จะไร้ประโยชน์หากปราศจากการกระทำ ก่อนที่จะลงมือทำอะไรก็ตาม คุณต้องวางแผนให้เป็นรูปเป็นร่าง แผนที่ดีควรชี้ชัดเป็นขั้นเป็นตอนว่า ต้องทำอะไร ทำอย่างไร และที่ขาดไม่ได้นั่นคือ คาดหวังว่าจะเห็นผลลัพธ์เมื่อไหร่
แม้ว่าคุณจะเป็นขงเบ้งกลับชาติมาเกิด ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน 100% ทุกแผนต้องมีอุปสรรค เมื่อคุณเจออุปสรรคให้เรียนรู้วิธีแก้ไข ใช้โอกาสนี้เก็บประสบการณ์เพื่อเลี่ยงปัญหาแบบเดียวกันในอนาคต อย่าเพิ่งหงุดหงิดหรือถอดใจ ทุ่มพลังของคุณในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ หาทางแก้ ก้าวไปข้างหน้าให้ได้ แล้วคุณจะแข็งแกร่งกว่าเดิม
สรุปส่งท้ายก่อนวางหนังสือ The Magic Of Thinking Big
เครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะนำความสำเร็จมาให้คือ ความเชื่อมั่นในตัวเอง คนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่นๆ หรือมีซุปเปอร์แมนมาคอยช่วยเหลือ แต่พวกเขาอึดกว่าและมั่นใจในตัวเองมากกว่าเท่านั้นเองครับ
ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร ให้นำ 3 ข้อนี้ไปปฏิบัติตั้งแต่ตอนนี้เลย
1.พูดน้อยลง ฟังมากขึ้น
ไม่ว่าคุณจะกำลังพูดกับคนที่เพิ่งเจอในงานเลี้ยงหรือเพื่อนรักในวัยเด็ก ต้องแน่ใจว่าคุณฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมากกว่าพูดคุยเกี่ยวกับตัวเอง ตั้งใจฟังสิ่งที่คนอื่นพูด จำไว้ว่า คนเล็กผูกขาดการพูด คนใหญ่ผูกขาดการฟัง
2. ลงทุนในตัวเอง
การลงทุนในการศึกษาและลงทุนในสิ่งที่สร้างความคิดเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดเสมอ ลองซื้อหนังสือที่เขียนขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญ เข้าร่วมสัมมนาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในบางหัวข้อ หรือสมัครสมาชิกนิตยสารเฉพาะด้านเพื่อกระตุ้นความคิด ยิ่งคุณขัดเกลาตัวเองด้วย “เครื่องมือ” สร้างความสำเร็จมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้นเท่านั้น
3. หลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยวนที่คอยกวนสมาธิระหว่างการทำงาน
ทุกคนน่าจะเคยมีโมเมนต์ที่เริ่มหาข้ออ้างเพื่อผัดผ่อนงานที่กำลังทำ แล้วหันไปเล่น Facebook งีบหลับ หรือเดินเล่น สิ่งยั่วยวนเหล่านี้มีแรงดึงดูดอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คุณต้องอุทิศทุกๆ วินาทีเพื่อทำงานตามที่กำหนดไว้ เมื่อใดก็ตามที่สิ่งยั่วยวนคืบคลานเข้ามาให้ลุกขึ้นบอกกับตัวเองว่า “ตอนนี้ชั้นจะทำงาน” พูดซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะกลับไปทำงาน
ผมขอปิดท้ายด้วยคำพูดของ Publilius Syrus นักเขียนชาวละตินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีต
คนฉลาดจะเป็นเจ้านายจิตใจตัวเอง แต่คนโง่จะเป็นทาสของมัน
Pingback: สรุปหนังสือ Toyota Kata "วิถีโตโยต้า": หลักคิดการทำธุรกิจที่ไม่มีวันแพ้
Pingback: สรุปหนังสือ Grinding It Out: ความลับของอาณาจักรแมคโดนัลด์ จากปากผู้ก่อตั้ง
Pingback: สรุปหนังสือ Everything Store: Amazon ร้านขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก